Tuesday, May 27, 2008,5/27/2008 02:47:00 PM
Speed Racer : สปีด เรซเซอร์ ไอ้หนุ่มสปีดเขย่าฟ้า
ตอนแรก เห็นดาราที่มาเล่น เฮ้ย อินเตอร์ดีเว๊ย มี เรน เล่นกับฝรั่งด้วย ( ขอบอกก่อนนะว่า เราไม่ใช่ สาวกเรนแน่ๆ เพราะไม่ค่อยปลื้มอีตานี่เท่าไหร่ ในฐานะที่ดันมาเท่กว่าเรา 5555 ) ตอนแรก เราตั้งใจว่าจะไม่ดูด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ใช่ว่าได้ตั๋วดูฟรี ( อีกแล้ว ) สงสัยเราจะไม่ได้ดูเป็นแน่แท้ เพราะทั้งแนวหนัง ดาราไม่โดนเลยซักกะอย่าง ไม่ช่ว่าหนังไม่ดีนะ แต่ไม่ใช่แนวที่เราชอบเท่านั้นเอง
เรามาดูที่ EGV ลาดพร้าว เจ้าเก่าอีกแล้ว อย่างที่เคยบอกว่า นอกจากใกล้บ้าน แล้วก็สนิทกับพนักงานที่โรงแล้ว ที่นี่ยังนึกข้อดีอื่นๆม่ออกเลย อ้อ นึกออกอย่างนึง ห้องน้ำ ไม่สกปรก เหมือนโรงเครือเมเจอร์หรือ EGV อื่นๆ สะอาด แถมฉีดน้ำหอมด้วย แต่ข้อเสียที่เด่นมากๆเลย คือ โรงเหม็นอับ ตั้งแต่เดินเข้าไปปุ๊บ ก็จะได้กลิ่นเตะจมูกเราปั๊บเลย มากี่ทีก็ไม่หาย บอกผู้จัดการโรงไปหลายทีแล้ว แต่อาการนี้รักษายากนะเราว่า นอกจากเปลี่ยนพรม เพราะกลิ่นแบบนี้เราว่ามาจากกลิ่นพรมว่ะ อีกอย่างคือ เก้าอี้ที่นั่งเคยมั๊ย พอนั่งปุ๊บลมในเก้าอี้มันก็ฟุ้งออกมาปั๊บ แล้วกลิ่นนะ ขอบอกเหม็นมากๆ เพราะฉะนั้น ต้องค่อยๆหย่อนก้น อย่าให้ลมมันฟุ้งออกมาเร็วเกินไป มิฉะนั้น อาจเป็นลมได้ อีกปัญหานึงที่เจอบ่อย คือ ที่วางแขน ที่สาขานี้ แปลกอยู่อย่างนึง แต่เราว่าดี คือ ที่เท้าแขนของเก้าอี้แต่ละตัวจะมีเป็นของตัวเองเลยไม่ต้องไปแบ่งใช้กับคนที่นั่งติดกับเรา ของใครของมัน แต่ขอโทษนะ บางเก้าอี้นี่ มันใช้ไม่ได้เพราะว่า ตัวที่นิ่มๆที่บุให้มือรองแล้วไม่เจ็บบางตัวมันหลุดออก ก็หมายความว่า เราต้องไปเอามือไปรองกับเหล็กโล้นๆอ่ะ แล้วบางทีมันไม่ใช่เหล็กเปล่าๆนะ มันมีตะปูยื่นออกมาด้วย มือเราก็เจ็บอะดิ
มาพูดเรื่องหนังดีกว่า หนังสร้างมาออกแนวการ์ตูนญี่ปุ่นนะ เป็นเรื่องของการขับรถแข่ง เนื้อเรื่องเอเชียมากๆ ( มารู้ทีหลังว่า คนสร้างไปซื้อลิขสิทธิ์มาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น มิน่า ถึงได้กลิ่นซูชิ มาแต่ไกล ) ประมาณว่า พระเอกได้รัยแรงบันดาลใจจากการแข่งรถมาจากพี่ชาย ซึ่งหายสาบสูญไป ก็แข่งรถไป ในการแข่งขันก็เจอพวกคนเลวที่ใช้วิธีโกงการแข่งรถสารพัดรูปแบบ เล่นกันแบบถึงตายเลยนะ ในหนังมีฉากระเบิดแบบเกมส์คอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ ดูไม่สมจริงเลย แต่ถ้าเป็นคนชอบเล่นเกมส์อาจชอบก็ได้ ภาพต่างๆดูสีสดมากๆ หลอกตาดีเหลือเกิน แม้แต่ในบ้านเองก็ใช้แม่สี มาทา ดูแล้วปวดหัวดี บอกตรงๆว่า ไม่ค่อยปลื้มแนวนี้เท่าไหร่
สรุป ในเมื่อเราไม่ปลื้ม เราก็เลยไม่อยากให้คะแนนมากเดี๋ยวจะเหลิง ในสายตาเราเราดูออกนะว่า นักแสดงพยายามเล่นมากๆเลย แล้วก็เล่นยากด้วย เพราะเล่นกับฉาก CG ไม่ใช่ของจริงๆ จะได้เห็นว่าอะไรอยู่ไหน คนที่เป็นแฟนเรน เห็นเรน แสดงเรื่องนี้แล้วคงปลื้ม แต่เราไม่ค่อยอยากให้เรนเล่นบทบู๊แบบในเรื่องนี้เลย ดูขัดๆยังไงก็ไม่รู้ เรนน่าจะเล่นบทอื่นนะ น่าจะเหมาะกับบุคลิก ส่วนน้องนางเอกคนสวยนั่น ก็แทบไม่มีความสำคัญกับเรื่องเลย ที่ชอบอย่างเดียวในเรื่องก็น่าจะเป็นเนื้อเรื่อง กับฉากแข่งรถ ที่เหลือไม่โดนใจเราเลย ถ้าเราไม่ได้ดูเรื่องนี้ เราก็ไม่เสียดายเลย เพราะไม่มีอะไรประทับใจซักอย่าง เฉยๆ จบแล้วก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น เอาไป 4.5 /1 0 ก็พอ

เนื้อเรื่องย่อ จาก http://hilight.kapook.com
จากสองผู้เขียน / ผู้กำกับฯ / ผู้อำนวยการสร้าง แลร์รี่ และแอนดี้ วาโชสกี้ ผู้สร้างภาพยนตร์ไตรภาคบันลือโลก "The Matrix" และผู้อำนวยการสร้างโจเอล ซิลเวอร์ ในภาพยนตร์ครอบครัวไลฟ์แอ็คชั่นผจญภัยออกเทนสูง "Speed Racer" ด้วยการควบรถแข่งไปตามลู่ ซิกแซกเพื่อเอาชนะในการแข่งขันสปีด เรซเซอร์ (อีมิล เฮิร์ช) สามารถทำอย่างเป็นธรรมชาติได้หลังพวงมาลัย เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักแข่งรถ สปีดทั้งดุดัน เปี่ยมสัญชาติญาณ และเหนืออื่นใด ไร้ความกลัว คู่แข่งเพียงอย่างเดียวของเขาคือความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายที่เขายึดเป็นตัวอย่าง เร็กซ์ เรเซอร์ นักแข่งรถผู้เป็นตำนาน สิ่งที่เขาทิ้งไว้หลังความตายก็คือการสืบทอดที่สปีดจะต้องทำให้สำเร็จ
สปีดมั่นคงต่อธุรกิจแข่งรถของครอบครัว โดยการนำของพ่อ ป็อพส์ เรเซอร์ (จอห์น กู้ดแมน) ผู้ออกแบบรถเสียงกึกก้องคู่ใจของสปีด - แมค 5 เมื่อสปีดปฏิเสธข้อเสนอที่ยั่วยวนใจและให้ผลตอบแทนสูงลิ่วจากรอ แยลตัน อินดัสตรีส์ เขาไม่เพียงแต่สร้างความแค้นให้กับเจ้าของบริษัทผู้บ้าคลั่ง (โรเจอร์ อัลแลม) แต่ยังได้ค้นพบความลับที่ร้ายกาจ
การแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ที่ถูกวางแผนโดยกลุ่มวายร้ายจอมโหดที่อยู่เบื้องหลังนักแข่งอันดับต้นๆ เพื่อสร้างผลกำไร ถ้าสปีดไม่ขับให้กับรอแยลตัน รอแยลตันก็จำทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้แมค 5 แล่นเข้าเส้นชัยได้อีกต่อไป
หนทางเดียวของสปีดที่จะรักษาธุรกิจครอบครัวและกีฬาที่เขาชื่นชอบไว้ให้ได้ก็คือการเอาชนะรอแยลตันด้วยเกมของตัวเอง จากการสนับสนุนของครอบครัวและแฟนสาวผู้ซื่อสัตย์ ทริกซี่ (คริสติน่า ริกซี่) สปีดเข้าร่วมทีมผู้ที่เคยเป็นศัตรู
นักแข่งรถลึกลับชื่อ เรซเซอร์ เอ็กซ์ (แมทธิว ฟ็อกซ์) เพื่อเอาชนะในการแข่งขันท้าความตายข้ามประเทศที่ชื่อว่าครูซิเบิล
"Speed Racer" นับเป็นการร่วมงานเขียนบท / กำกับฯ ของสองพี่น้องนับตั้งแต่ภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง "The Matrix" โจเอล ซิลเวอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับวาโชสกี้ใน "The Matrix" ไตรภาค และ "V For Vendetta" จะอำนวยการสร้างภาพยนตร์ภายใต้ชื่อบริษัท ซิลเวอร์ พิกเจอร์สของเขา แลร์รี่และแอนดี้ วาโชสกี้ และแกรนท์ ฮิลล์ ร่วมเป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยมีเดวิด เลน เซลท์เซอร์ และบรูซ เบอร์แมน เป็นผู้อำนวยการบริหาร
Speed Racer นำแสดงโดยอีมิล เฮิร์ช ("Alpha Dog") ในบท สปีด, คริสติน่า ริคชี่ ("Black Snake Moan") เป็นทริกซี่ แฟนสาวของเขา, แมทธิว ฟ็อกซ์(TV’s "Lost") เป็นนักแข่งลึกลับในหน้ากากที่ชื่อว่า เรซเซอร์ เอ็กซ์, และดาราตุ๊กตาทอง ซูซาน ซาแรนดอน ("Dead Man Walking") และจอห์น กู้ดแมน ("Evan Almighty") เป็นมัมและป็อพส์ เรซเซอร์ ร่วมทีมนักแสดงโดย คิก เกอรี่("Spartan") เป็นสปาร์กี้; พอลลี่ ลิท (TV’s "Hope & Faith") เป็นสปริเทิล; โรเจอร์ อัลแลม ("The Queen," "V For Vendetta") เป็นรอแยลตัน; ฮิโรยูกิ ซานาดะ ("The Last Samurai") เป็น มร. มูชิ; ริชาร์ด ราวน์ทรี ("Shaft") เป็น เบน เบิร์นส; และนักร้องป็อพสตาร์ชาวเอเชียจอง จี ฮุน (รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ "เรน") กับผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในบทนักขับรถคู่แข่งที่ชื่อ เทโจ โทโกคาห์น
อิงเค้าโครงจากซีรีส์ซึ่งสร้างสรรค์โดย ผู้บุกเบิกผลงานแอนิเมะ ทัตซุโอะ โยชิดะ ภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง "Speed Racer" จะแสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติของงานวิชวลเอ็ฟเฟ็ค และการเล่าเรื่องแบบสมัยใหม่ ที่กลายเป็นมาตรฐานการเล่าเรื่องของหนังโดยพี่น้องวาโชสกี้ "Speed Racer" นำเสนอโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ร่วมกับวิลเลจ โรดโชว์ พิกเจอร์ส เป็นผลงานภาพยนตร์ของซิลเวอร์ พิกเจอร์ส
นำแสดง : อีมิล เฮิร์ช, จอห์น กู้ดแมน, โรเจอร์ อัลแลม, คริสติน่า ริกซี่, แมทธิว ฟ็อกซ์, ฮิโรยูกิ ซานาดะ, จอง จี ฮุน

Labels: , , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,5/27/2008 02:28:00 PM
Visakhabucha Mahamongkol: งานวิสาขบูชามหามงคล

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีโอกาสไปกินข้าวที่ ซีคอนสแควร์ ปกติเวลาไป ซีคอนเนี่ย เราจะเดินเป็นแพทเทอร์นเลย คือเดินเข้าที่ประตูฝั่ง โลตัส แล้วก็เดินดู Promotion ของห้างว่ามีการจัดรายการอะไรมั่ง ทั้งสองชั้น จากนั้นก้จะเดินลงมาร้าน CAP ชั้นล่าง เพื่อดู DVD + VCD ว่ามีหนังอะไรออกใหม่ หรือ หนังที่เราชอบจะได้ซื้อเก็บไว้ ดูเสร็จก็เดินผ่านไปร้าน Watson ร้าน Boots ดู Promotion และ การจัดเรียงสินค้าของร้านอีกเช่นกัน ( พอดีเคยทำงานทางด้านฝ่ายขายมาก่อน เลยชอบดู Display ของห้างจนติดเป็นิสัย 5555 ) ซึ่งจะต้องผ่านลานกิจกรรมของทางห้าง ที่อยู่ตรงกลางห้างพอดี ลานนี้ มักจะจัดเป็นลานขายของลดราคาสินค้าหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตามแต่โอกาส แต่ที่จัดบ่อยสุดคือ งานลดราคาของห้ง โรบินสันที่อยู่ใกล้ๆนั้นพอดี จัดบ่อยมากๆๆ รองลงไปก็น่าจะเป็นงาน ประกวด เชียร์ลีดเดอร์ ไม่รู้จัดถี่แค่ไหน แต่รู้สึกว่าเห็นบ่อยจริงๆ ที่เห็นจักดนานๆครั้งก็คือ งาน ออกร้านย้อนยุค แล้วก็งานพวก ขายของ Gift shop
แต่วันนี้มาแปลกว่าทุกครั้ง คิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่า วันที่ 19 พฤษภาคม ปีนี้ตรงกับวัน วิสาขบูชา พอดี เลยจัดงานนี้ขึ้นมา รูปแบบงานที่เห็น คือ มีการเอา พระพุทธรูปปางต่างๆ และ เป็นพระพุทธรูปจำลององค์ที่ชาวไทยให้การสักการะบูชามาตั้งไว้เต็มไปหมดเลย ดูสวยงามมาก อยากถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก มือถือเจ้ากรรมที่พกมาในวันนั้น ก็บังเอิญเป็นรุ่นที่ถ่ายรูปไม่ได้ซะด้วย จะกลับบ้านไปเอามาก็เดี๋ยวจะทำธุระไม่ทัน เลบลองภามคนแถวนั้นดูว่า งานจะจัดถึงเมื่อไหร่ จะได้เอากล้องมาบันทึกภาพไว้ ได้ความว่า งานนี้จัดตั้งแต่ 16-25 พฤษภาคม ก็หมายความว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายนะสิ เฮ้อ แล้วทำไมไม่มีการประชาสัมพันธ์อะไรกันมั่งเลย เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะมีงานโชว์ พระพุทธรูป แล้วก็ให้คนที่สนใจมากราบไหว้แบบนี้ด้วย เสียดายจริงๆ
เราว่า น่าจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ดีกว่านี้หน่อยนะ ดูสิ นอกจากเราที่เผลอไปเห็นแล้วเนี่ย เรานึกเสียดายแทนคนไทยชาวพุทธ อีก มากมายที่ไม่ได้มีโอกาสไปเห็นอย่างที่เราเห็น งานค่อนข้างใหญ่ มีพระพุทธรูปเป็นร้อยเลย ( อย่างที่บอกนะเป็นองค์จำลอง ไม่ใช่องค์จริง เป็นองค์เล็กประมาณซักศฮกนึง แต่เหมือนมากๆ) พระประธานในงาน เป็น พระพุทธชินราชจำลอง แต่ก็ดูสวยและขลังดี ไม่เหมือนองค์ที่ พิษณุโลกหรอก โอ้โห องค์นั้น งามสุดๆ ช่วงนึงของชีวิตเราเคยมีโอกาสไปอยู่ที่นั่น เราไปชมความงามของท่านทุกเช้าก่อนไปทำงานเลย ม้กระทั่งวันที่เราจะลากลับ กทม เราก็ไปกราบลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย ช่วงที่เราได้มีโอกาสไปนั่งในอุโบสถ ใจของเราสงบลงอย่างประหลาด ปกติเราจะเป็นคนฟุ้งซ่านมากๆ แต่ณ วินาทีนั้น เรามีความสงบมากๆ โดยที่ไม่ได้นั่งสมาธิด้วยซ้ำ )
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีส่วนที่จัดเป็นบริเวณ ของ พระบรมสารีริกธาตุ มี มากมายมาจากหลายที่ต่างๆกันไป จัดเรียงเป็นวงกลมให้คนมากราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล เรายิ่งนึกก็ยิ่งเสียดาย ที่ไม่ได้เอากล้องไปด้วย
สรุป นี่แหละน๊า คนไทย เราไม่ได้เอากล้องไปเอง แต่เราดันไปว่าเค้าว่า ไม่มีการประชาสัมพันธ์ ซึ่งจริงๆแล้วเค้าอาจมีการประชาสัมพันธ์ก็ได้ แต่เราไม่ได้ไปดูสื่อที่เค้ามีเอง เออ โทษตัวเองก็แล้วกัน ที่ไม่ได้ไปเดินห้างเค้าบ่อยๆเลยพลาดของดีเลย เค้ามีไว้ให้เฉพาะขาประจำจ้า ไม่เป็นไร ปีหน้าเราไปใหม่ก็ได้ ดังนั้น เราขอหักคะแนนความไม่รู้ของเรา ( ความไม่รู้ของเรา แต่ดันไปหักคะแนนของเค้า 555 ) เอาไป 9 / 10 พอ เพราะว่า การระดมของศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนี้ อาจไม่ง่ายนัก แล้วงานนี้ ก็ไม่มีของอะไรมาขายมากมายด้วยแสดงว่า ไม่ได้ต้องการเงิน ทำด้วยจิตใจที่ดี เลยได้เยอะหน่อย ปีหน้าเราสัญญาเลยว่า จะไปให้ทัน รอเราด้วยนะ นะ นะ ( ตอนหลังเพิ่งจะไปหาเจอว่ามี ประชาสัมพันธ์ในเวป ตามข้อควมด้านล่าง )


“ วิสาขบูชามหามงคล ” เปิดตำนาน ไหว้พระ ๗๖ จังหวัด ที่ซีคอนสแควร์ จาก http://www.thaipr.net/ -- ศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2008 13:00:03 น.

กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ซีคอนสแควร์ ร่วมกับ ชมรมพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ จัดงาน “ วิสาขบูชามหามงคล” พบปรากฎการณ์พลังศรัทธาครั้งยิ่งใหญ่ เปิดตำนานไหว้พระ ๗๖ จังหวัด ครั้งแรกในศูนย์การค้า กับการอัญเชิญพระพุทธรูป ประติมากรรมที่สมบูรณ์ด้วยศาสตร์และศิลป์ มรดกล้ำค่าคู่บ้านคู่เมือง ให้ประชาชนสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล อาทิ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ หลวงพ่อพุทธโสธร วัดโสธรวราราม วรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก พระพุทธสิหิงค์ จ.นครศรีธรรมราช หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย ฯลฯ พร้อมเชิญชวนพุทธมามกะ เข้าร่วมสักการะ และ เวียนเทียน รอบพระบรมสารีริกธาตุ อัญเชิญมาจาก สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร ชมนิทรรศการ ประวัติ ความเชื่อ ความศรัทธา รับแจกพระผง ฟรี ! ทุกวัน เริ่ม 16-25 พฤษภาคม ศกนี้ เวลา 10.30— 21.00 น. ณ ลานน้ำพุ ชั้น1 ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์


ดูเพิ่มเติม http://www.seaconsquare.com/

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,5/27/2008 02:10:00 PM
Memory : รัก ..หลอน
ด้วยความอยากใช้สิทธิ์ ดูหนังฟรี เลยจำใจต้องรอจนหนังเข้าสัปดาห์ที่สอง ถึงได้เยื้องกรายไปดูที่ EGV ลาดพร้าว โดยจ่ายค่าภาษีและบริการ 15 บาท ก็ได้ดูสมใจ (จริงๆอ่ะ อยากดูตั้งแต่ หนังเข้าแล้วล่ะ เพราะไม่ได้ดูหนังที่ ใหม่ เจริญปุระ เล่นน่านแล้ว ไม่รู้จำผิดหรือเปล่า รู้สึกว่าจะเป็นสุริโยทัย เราว่าใหม่แสดงดี ยิ่งบทที่ต้องใช้อารมณ์เยอะๆ เธอจะถนัดเป็นพิเศษ )
ขนาดหนังเข้ามาเป็นสัปดาห์ที่สอง ก็ยังมีคนดูประปรายนะ ไม่ผีหลอก หนังพูดถึง หมอคนนึง ที่มีโอกาสเข้าไปรู้จักกับครอบครัวของหญิงลูกติดคนนึง ซึ่งแม่ลูกคู่นี้มีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่น ลูกชอบร้องโดยไม่มีสาเหตุ หมอก็พยายามไปช่วยแก้ไขปัญหา พยายามหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร สุดท้ายก็รู้ความจริงว่าเกิดจาก ตัวแม่เองที่มีปมทางจิต ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในอดีต
หนังไม่ได้มีตัวละครหลักมากมายอะไร มีแค่ 3 คนเอง คือ ตัวอนันดา ใหม่ แล้วก็ตัวลูก แต่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ทำให้คนดูเบื่อเลย ดูน่าติดตามตลอด ฉากที่แสดงก็ดูราบเรียบ ไม่มีอะไรมากมาย ดูสบายตาดี ไม่ดึง หรือ แย่งสายตาคนดูจากตัวละครออกไป ฉากที่ติดตาที่สุด คือ ฉากที่อนันดาฝันว่า ใหม่มาโกนหนวดให้ แล้วกลายเป็นเชือดคอ ดูแล้วเสียวมากๆ ( แต่ ใหม่โกนหนวดได้ไม่เกลี้ยงเลยนะ 555 แถมยังบาดคาง อนันดา นิดหน่อยด้วย เราแอบสังเกตเห็นรอยบาดมีเลือดไหลนิดๆด้วย 5555) กับฉากที่เฉลยภาพสุดท้าย ที่ลูกนอนบนเตียงคนไข้ ที่เป็นสิ่งตอบโจทย์ทุกอย่าวในเรื่อง
ก่อนที่จะได้มาดูเรื่องนี้ เนื่องจากว่า เป็นเวลานานมากเลยกว่าจะได้มาดู เลยได้มีโอกาสอ่านคำวิจารณ์ มาเยอะ บ้างก็บอกว่า เดาไม่ถูกเลยมั่งล่ะ หลอนมากๆมั่งล่ะ ไม่เคยดูหนังที่ระทึกอะไรขนาดนี้มั่งล่ะ ฯลฯ ใจเราเอง ตอนที่นั่งดู เราเองก็นึกถึงคำพูดพวกนี้เหมือนกันนะ บอกตัวเองว่า เราจะต้องไม่เชื่อคำพูดพวกนั้นเด็ดขาด เราต้องเดาเนื้อเรื่องให้ได้เลยว่า ยังไงๆๆๆๆ แต่เชื่อมั๊ย เรายอมรับเลยนะ ว่าตอนจบเป็นอะไรที่เราเดาไม่ถูกเลย ขอสารภาพ ถ้าภาพหลอนที่ว่า หมายถึงภาพที่อนันดา ถูเกเชือดคอ หรือ ภาพลูกบนเตียงคนไข้ นั้น เราก็ต้องเห็นด้วยอีก ว่า มันติดตาเราจริงๆ ยอมรับเลยตรงนี้
สรุป เราไม่เสียดายตังค์เลย ( อ๋อ แน่สิ ดูฟรีนี่ ) ไม่เสียดายเวลาเลยด้วย ตลอด สองชั่วโมงที่นั่งดู เราไม่ง่วงแฮะ ทั้งๆที่เพิ่งกินข้าวมาอิ่มๆ ปกติ จะหลับนะ 5555 แต่นี่ไม่เลยล่ะ คนสร้างเค้าเก่งที่สามารถเอาเนื้อเรื่อง ธรรมด๊า ธรรมดา มาเล่าให้น่าติดตาม แถมมี Surprise ตอนจบอีกต่างหาก เราชอบลูกเล่นแบบนี้ อ้อ อีกอย่างที่เราไม่ค่อย Comment คือ โปสเตอร์ หนังสวยน่าดูมากๆ เราให้ 8.8 / 10 นะ ถึงแม้เราจะชอบ แต่เราชอบหนังที่มีตัวละครหลักมากกว่า 3 ตัวอ่ะ ดูเรื่องนี้แล้ว เหมือน ผู้สร้างประหยัดตังค์ค่านักแสดงยังไงก็รู้ 55555

เนื้อเรื่องย่อ เมมโมรี่ รักหลอน
เรื่องย่อ เรื่องราวแห่งความรักระหว่างอิงอร, กฤช และแพรเด็กหญิงวัย 7 ขวบ เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ถูกบังคับ เมื่ออิงอรต้องจำยอมพาแพรซึ่งเป็นลูกสาวไปพบกฤชเพื่อวินิจฉัย กฤช แพทย์หนุ่มผู้ที่มีแต่ความหดหู่อาลัยในชีวิต และนั่นเป็นครั้งแรกที่กฤชได้พบกับอิงอรและแพรเด็กสาวที่น่าสงสาร ในระหว่างการรักษา อิงอรได้เพียรปฏิเสธคำวินิจฉัยของกฤชที่มีต่อแพรโดยตลอด ด้วยความหวงกลัวจะมีใครมาพรากลูกไปจากตน อิงอรจึงปฏิเสธที่จะให้แพรมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามคำแนะนำของกฤช ด้วยความที่แพรอายุใกล้เคียงกับลูกของกฤช ทำให้กฤชรู้สึกสงสารและผูกพันเป็นพิเศษ จึงเป็นเหตุผลที่กฤชยอมไปรักษาแพรที่บ้าน แต่ต่อมาเมื่อกฤชยิ่งเข้าไปใกล้ชิดกับครอบครัวนี้มากขึ้น กฤชกลับรู้สึกว่าอิงอรเหมือนเป็นคนที่เขาค้นหามาตลอด ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ไฟแห่งราคะพร้อมที่รุกโชนในทุกครา ในขณะที่อิงอรหญิงม่ายที่เติบโตมาจากห้วงบาปแห่งชีวิต เปรียบผู้ชายดั่งสัตว์ที่มีผู้หญิงไว้เพียงบำบัดความใคร่ จึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องลูกของตนจากผู้ชายทั้งปวง แพรจึงเป็นเพียงเด็กน้อยที่ในชีวิตไม่เคยมีใครอื่นนอกจากแม่ ด้วยความรักและเอ็นดูของกฤชที่มีต่อแพร ทำให้อิงอรเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับกฤชแบบที่ไม่เคยได้รู้สึกกับผู้ชายคนใดมาก่อน แต่เมื่อความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองเพิ่มมากขึ้นเท่าไร กำแพงแห่งความกลัวของอิงอรกลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทางอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดของอิงอร การเลี้ยงลูกที่ประหลาดกว่าที่คนทั่วไปคิดจะทำ สิ่งหนึ่งที่กฤชสัมผัสได้จากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้คือ ความรักที่ไม่ปกติชวนผวาได้ตลอดเวลา สาเหตุเกิดจากอะไร เกิดจากใคร นั่นเป็นเรื่องที่กฤชต้องหาคำตอบ

Labels: , , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Monday, May 26, 2008,5/26/2008 03:42:00 PM
Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull : ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 อาณาจักรกะโหลกแก้ว

รอวันนี้มานานสิบกว่าปี ในที่สุดความฝันก็เป็นความจริง กับ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ที่ฝันใฝ่ เลอกไปดูที่ เมเจอร์ สาขา บางกะปิ เพราะว่า บัตรสะสมแต้ม ขาดไป 1 ช่องก็จะได้ข้าวโพดคั่ว 1 ถุงแล้ว เฮ ( จริงๆราคามันแค่ 10 บาทเองอ่ะ แต่อย่างว่า คนมันงก 5555 )
ที่ช่องจำหน่ายตั๋ว มีเราคนเดียวเอง มองไปที่ผังที่นั่ง มีคนดู ไม่ถึง 10 คน นึกในใจ แหม หนังเพิ่งเริ่งฉายวันแรก คนจะมาดูอะไรกันนักหนา เดี๋ยวก็มาน่า ว่าแล้ว เราก็ลงไปกินข้าวที่ ศูนย์อาหารชั้นสองดีกว่า กินก่อน ตอนดูหนังจะได้ไม่หิวข้าว เผลอแป๊บเดียว ใกล้เวลาหนังเข้าแล้ว เพื่อไม่ให้เสียมารยาท เพราะเรานั่งตรงกลางด้วย คนที่มาทีหลังจะได้ไม่ลำบากเราเข้าไปให้ตรงเวลาดีกว่า เราเข้าโรงคนแรกอีกแล้ว หลังจากที่ผ่านด่านตรวจของตรงทางเข้าทีทำเหมือนกับเราเป็นผู้ร้ายขนยาเสพติดข้ามชาติ ค้นซะทุกซอกทุกมุม ดีนะไม่ให้แก้ผ้า ไม่งั้นเราคงแก้ผ้าให้ดู 555
เข้าไปในโรงได้ไม่ทันไร คนก็ทะยอยเข้ามาจนเริ่มหนาตา แต่ก็ไม่เต็มโรงหรอกนะ เรานับได้ประมาณ 50คน ก้ดีแล้วล่ะ คนมากก็หนวกหูมาก โดยเฉพาะคู่ชายหญิงที่นั่งแถวเดียวกับเรา เรานั่งกลาง แต่สองคนนั่น นั่งตรงปลายแถวทางขวามือของเรา ปัญหาคือ ตัวผู้ชาย ไม่รู้เกิดปีอะไร เวลาพูดเสียงดังมาก กระซิบกระซาบอะไรทำไมมันดังไปซะทุกประโยค ได้ยินไปทั้งแถว ( เราว่าทั้งโรงก็น่าจะได้ยินนะ ) จะหยอกอะไรกํบแฟนก็หยอกให้ได้ยินไปทุกคนในโรง ตอนแรกเรานึกว่าเค้าใส่หูฟังอะไรหรือเปล่า เพราะตัวเราเองเวลาที่เราใส่หูฟัง บางทีเราเองก็เผลอดพูดเสียงดังเหมือนกัน เราพยายามเข้าข้าง แต่ตอนนั้น ไฟยังไม่มือดขนาดมองอะไรไม่เห็นเราถึงได้ข้อสรุปว่า อ้อ แ..ง มันเสียงดังแบบนั้นเอง ( โคตรหนวกหูเลย เฮ้อ )
แต่ช่างมันเหอะ ผีคงเจาะปากมันมา แล้วเอาเนื้อที่เจอาะไปอุดหูมันมั้ง เลยไม่รู้ตัวว่าพูดเสียงดังขนาดไหน หลังเคารพในหลวงแล้ว สมาธิเราทั้งหมดก็จับจ้องไปที่จอหนังด้วยสายตาที่เบิกเต็มที่
ต้องขอบอกว่า สมกับที่เรารอคอยมานาน และไม่ทำให้เราผิดหวังเลย สนุกสุดๆ เราชอบตัวละครทุกตัว ฉากทุกฉาก เนื้อเรื่องทุกตอน ถ้าไม่คิดอะไรมาก มองข้ามเรื่องความสมจริงไป มองข้ามความเว่อร์ไปบ้าง เราว่า เรื่องนี้แหละ คุ้มค่าเงินที่สุดแล้วของปีนี้ ตั้งแต่มกราคม จนถึง สิ้นเดือนพฤษภาคม คงไม่มีเรื่องไหนทำให้เรามันส์ได้เท่านี้อีกแล้ว ( แน่นอน ก็หนังมันฉายปลายพฤษภาคม นี่นา ) เราว่าคนแต่งเรื่องต้องอ่านหนังสือมาเยอะพอสมควรแหละ ถึงได้รู้เรื่องกะโหลกแก้วขนาดนี้ แต่เราว่ามันเป็นกะโหลกคนละอันกับที่เราเคยอ่านมาในหนังสือนะ เพราะกะโหลกอันในหนังนี่ มันเรียวๆ แต่ที่เราเคยเห็ฯรูปในหนังสือนี่มัน ค่อนข้างกลมนะ จะยังไงก็แล้วแต่ เราก็ขอเข้าข้างหนัง ว่า เค้าคงพยายามสร้างให้มันมีที่มาที่ไป เอาเป็นกะโหลกมนุษย์ต่างดาวนี่แหละ ลงตัวที่สุด ซึ่งก็โดนใจเราพอดี
อยากชมดารานิดนึง แฮริสัน ฟอร์ด ทำไมไม่แก่เลย ไม่รู้ไปทำเลเซอร์ที่ยันฮีมาหรือเปล่า หน้าไม่มีรอยยับเลย หล่อเหมือนเดิม ส่วน เคท บลังเชท เป็นดาราที่โคตรเก่งในสายตาเรานะ ไม่ว่าจะแสดงเป็นตัวอะไร ดูเธอจะสามารถสวมวิญญาณให้เราเชื่อได้ทุกครั้งยว่า เธอเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ แน่นอนว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายย่อมมีผลต่อความสมจริงของบทบาท แต่เธอดูเหมือนนนนนนนนนมากกกกกกกกกกกกก ไม่ยักจะเหมือนกับดาราในประเทศของไทยบางคน เราเคยคุยกับเพื่อนๆ ของเรานะว่า ใครๆก็ชื่นชมว่าดาราอาวุโส ของไทยคนเนี้ย เล่นดีโคตรๆ แต่เราดูทีไร เราก็รู้สึกว่า เค้าก็ยัวเป็นเค้า จะเล่นอะไรก็เป็นตัวเค้าเองคนเดิม แค่เปลี่ยนชื่อ กับเสื้อผ้าเอง มันไม่ได้ทำให้เราอินเลยซักกะติ๊ด เออ เอาน่ะ สงสารมาตรฐานของการตัดสินคงไม่เหมือนกัน เราพยายามเข้าข้างอีกแล้ว
หนังยาวพอสมควรนะ น่าจะซัก สองชั่วโมงครึ่ง เรายัวชอบฉากที่มีพวกกลไกต่างๆในปราสาทด้วย ช่างคิดดีจังเลย ตื่นเต้นอีกต่างหาก นอกนั้นก็ยังมีฉากขำๆตามสไตล์ของ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ภาคก่อนๆอีกพอเป็นกระสาย
สรุป เราอยากให้เต็มนะ แต่ขอตัดคะแนนเรื่องฉากบู๊นิดนึง อย่างตอนที่ขับรถเลียบหน้าผาดูแล้วภาพมันหลอกๆยังไงก็ไม่รู้ สัต่างกันอย่างชัดเจน ให้เด็กมาดูก็รู้ว่า ตัดต่อ ( แบบห่วยๆด้วยนะ ไม่ปราณีตเลย ) นอกนั้นก็อย่างที่บอกว่า ถูกใจไปหม๊ดดดดดด ตกลงเราให้ 9.6 / 10 ไปเลย
เวปไซท์ทางการ http://www.indianajones.com/
เนื้อเรื่องย่อ
กลับมาอีกครั้งกับการผจญภัยในโลกโบราณคดี ทีมของ จอร์จ ลูคัส ได้นำ อินเดียน่า โจนส์ กลับคืนสู่จอยักษ์ เกือบ 20 ปีหลังจาก อินเดียน่า โจนส์ แอนด์ เดอะ ลาส ครูเสต เหตุการ์ณครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 1957 อินเดียน่า โจนส์ รับบทโดย แฮริสัน ฟอร์ด ผู้ฉลาดและสูงวัยขึ้นกว่าในภาคก่อนๆ เผชิญหน้ากับสายลับจากโซเวียต เพื่อชิง กระโหลกคริสตอลที่ลึกลับ อินเดียน่า โจนส์ ถูกช่วยไว้โดย คู่รักเก่า เมเรียน เรเวนวู้ด (เคเรน แอลเลน) และเพื่อนคู่หู มัส (ชา เวบูฟ) และเพื่อนนักโบราณคดี แม็ค (เรย์ วินตัน) อินเดียน่า โจนส์ จะออกเดินทางจาก นิว แม็กซิโก คอนเน็ตติกัส และ เข้าไปในป่าเปรู จนไปถึงโรงเก็บของร้างในตอนจบของไรเดอร์ ออฟ เดอะ ลอส อาร์ค ที่ซึ่งสมบัติล้ำค้าถูกซ่อนไว้โดย รัฐบาลอเมริกัน

Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull
การผจญภัยครั้งใหม่ ภาคใหม่ ตอนใหม่ในครั้งนี้ จะพาคุณย้อนกลับไปในดินแดนทะเลทรายทางเซ้าท์อีสต์ ในปี 1957 ช่วงสงครามเย็น เมื่ออินดี้ (แฮริสัน ฟอร์ด) edและเพื่อนซี้ แมค (เรย์ วินสโตน) ซึ่งเกือบจะหนีไม่รอดจากกองกำลังของโซเวียตที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
และเมื่อหนีเสือกลับมาถึงบ้าน สถานการณ์กลับยิ่งร้ายกว่า เพราะงานที่มาร์แชล คอลเลจก็ถูกคำสั่งเบื้องบนที่บังคับให้คณบดี ซึ่งเป็นเพื่อนของเขาเอง ต้องเซ็นชื่อเชิญเขาออกจากงาน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
ต่อมาอินดี้ได้พบกับเด็กหนุ่มชื่อ มัตต์ (ไชอา ลาบัฟ) เพื่อออกตาหาสมบัติล้ำค่าทางโบราณคดีที่ใครๆก็สนใจ นั่นคือ กะโหลกแก้วแห่งอเคเทอร์ วัตถุโบราณในตำนานอันน่าพิศวง ลึกลับ และน่าสพรึงกลัว
แต่เมื่อคู่หูต่างวัย อินดี้ และ มัตต์ ตามล่าหาสมบัติไปถึงเปรู ดินแดนแห่งขุมสมบัติโบราณ ที่ร่ำลือกันว่าเป็นดินแดนแห่งทองคำ พวกเขาก็พบกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้รับเชิญ พวกสายลับโซเวียตที่นำทีมโดยสาวสวยผู้โหดเหี้ยมเลือดเย็น อิริน่า สปัลโก (เคต แบลนเชตต์) ซึ่งออกตามหากะโหลกแก้วอย่างพลิกแผ่นดิน ด้วยความเชื่อที่ว่ามันจะช่วยให้โซเวียตครองโลกได้ อินดี้ และ มัตต์ พร้อมด้วยพลพรรคหน้าคุ้น จึงต้องหาทางหนีจากพวกโซเวียตและตามหากะโหลกแก้วให้พบ เพื่อเก็บรักษามันให้พ้นจากเงื้อมมือพวกประสงค์ร้าย

Labels: , , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Friday, May 23, 2008,5/23/2008 03:52:00 PM
5th Siam Botany Exhibition : พฤกษาสยาม ครั้งที่ 5

อ่านเจอจากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ว่า ที่ The Mall บางกะปิจัดงาน พฤกษาสยาม ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 17-26 พฤษภาคม 2551 เราก็กะว่าจะไปวันกลางๆหน่อยดีกว่าไม่อยากไปวันแรกๆ กลัวคนเยอะ รถติด ฯลฯ แถมรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ คุณ สรยุทธ ก็ออกมาเชิญชวนคนให้ไปงานนี้ แหม ฟังแล้วชักอยากไป
เราเลือกไปหลังงานจัดไปแล้ว สามวัน คนคงหายเห่อแล้ว เราไปแต่เช้าตรู่เลย เพราะอยากถ่ายรูปแบบไม่ค่อยมีคนมาบังกล้อง ไม่ยักรู้ว่าต้องเสียตังค์ค่าบัตรผ่านประตูด้วย 20 บาท ลังเลอยู่ซักครู่ มองไปมองมาเห็นมีการตกแต่งประดับประดา รอบนอกซะสวยเชียว มองเข้าไปใน MCC Hall ชั้น 4 ก้เห็นมีอะไรให้ดูเยอะแยะ เอาวะ ซื้อก็ซื้อ อ้าว เหลือบตามองไปใกล้ๆ ทางเข้า มีซุ้มขายของ Coke ติดประกาศไว้ว่า ซื้อ น้ำอัดลม 6 กระป๋อง แถมฟรี 1 กระป๋อง แล้วเข้าฟรีอีกตะหาก อ้าวแบบนี้ก็เสร็จเราสิ เราเอาอยู่แล้ว ก็เลยซื้อ 1 แพ็ค ถามน้องว่า ขอฝากก่อนได้มั๊ย หิ้วไปดุไปหนักมากเลย (ตั้งเกือบ 4 โล แน่ะ ) อ๋อ ข้างในมีรถเข็นให้ยืมค่ะ เราก็ดีใจ อ้อ คงมีรถเข็นด้วยจริงๆแหละ เพราะข้างในมีซุ้มขายต้นไม้ด้วย คงเอาไว้บริการคนที่มาดูงาน ว่าแล้ว ก็เตรียมเปิดหน้ากล้องถ่ายรูปทันที
ภาพที่เราเห็น เป็นห้องโล่งกว้าง ซักประมาณ 1000 ตารางเมตรได้ จัดต้นไม้ไว้เกือบเต็มพื้นที่ มองไปด้านหน้า ตรงกลางห้อง มีเวที เหมือนประกวดอะไรซักอย่าง แต่เรา ไปเช้ามาก คงยังไม่มีใครบ้าาเอาอะไรมาประกวดเช้าขนาดนั้น ทางเข้าด้านหน้า มีซุ้มที่คนจัดพยายามทำเป็นสวนอะไรซักอย่าง มีสะพานข้ามน้ำ มองลงไปในน้ำ มีบัวอยู่หลายพันธุ์ เห็นแต่ใบ มีป้ายปักไว้ว่า มีพันธุ์อะไรบ้าง แต่ไม่ยักจะมีดอกให้เห็น สวนที่ว่า มีทั้งเอาต้นไม้จริงกับต้นไม้ปลอมดอกสีแปร๋นๆมีปักแซมกันไว้ พยายามให้ดูคล้ายสวนในสายตาคนจัดมากที่สุด แต่ในสายตาเราเราว่า ไม่สวยเท่าไหร่ ดูรกๆยังไงชอบกล มองไปทางซ้าย เป็นบริเวณ โชว์ต้นไม้ปรกวดต่างๆ มัทั้ง กล้วยไม้ ลิ้นมังกร ชวนชม บริเวณถัดมาเป็น ต้นไม้แปลกๆเช่น ข้าวโพดหลายๆสี ดำเอย แดงเอย ขาวเอย มีดอกดาวเรืองสีอ่อน ๆ ไม่ใช่สีเหลืองแปร็ดแบบท้องตลาด มีแตงกวา หน้าตาประหลาดๆ อีก 5-6 แบบ ที่เหลือทางขวามือ เป็นร้านขายต้นไม้ทั้งหมด สรุป มีต้นไม้ออกงานเพียงครึ่งเดียว ที่เหลือมาขายของ เราใช้เวลาดูทั้งหมดประมาณ ครึ่งชั่วโมง รู้สึกว่าไม่ได้อะไรเท่าหร่ เพราะงานแบบนี้ ที่ แฟชั่นไอส์แลนด์เราเคยไปดูมาแล้ว ของเยอะกว่านี้อีก แถมดูฟรี อีกต่างหาก ได้แต่ ปลงในความโง่ของตัวเอง ไม่น่าเชื่อโฆษณาเลย ของที่รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ เอามาโชว์ คือทั้งหมด ที่งานนี้มี พูดง่ายๆก็คือ ไฮไลท์ทั้งหลายเราได้เห็นหมดแล้วจาก ทีวี อึ้งไปเลย แต่เราก็ขอบันทึกด้วยรูปก็แล้วกัน ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
สรุป งานนี้เราให้คะแนน 4.5 / 10 ที่ได้ถึงขนาดนี้ เพราะเราให้คะแนน ชวนชม หรอกนะ เพราะเราชอบเป็นพิเศษ แล้วก็หามาให้ดูได้เยอะดี ส่วนคะแนนที่หักคือ ค่าเข้าชม แพงไป จริงๆแล้วไม่ควรคิดเลยด้วยซ้ำ เพราะก็น่าจะได้ค่าเช่าจากคนที่มากออกร้านอยู่แล้ว ถ้าจะเก็บก็ไม่ควรถึงขนาดนี้ 10 บาทก็คงไมู่ถูกเกินไปหรอกน่า ให้เด็กๆได้ดูฟรี เหมือนที่ห้างอื่นจัด จะได้บุญมากกว่านะ ถ้าจะเก็บราคนี้ เราคาดหวังว่าจะได้มากกว่านี้ แล้วอีกอย่าง น้องตนที่บอกว่า มีรถเข็นข้างในน่ะ น่าจะรีบออกมาขอโทษนะ เพราะเดินจนกล้ามแขนขึ้น ไม่เห็นมีรถเข็นซักคัน ไม่น่าโกหกกันเลย โธ่

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Tuesday, May 20, 2008,5/20/2008 03:20:00 PM
Juno : โจ๋ป่อง ใจเกินร้อย


เราตีตั๋ว ดูหนังเรื่องนี้ ต่อเลย เพราะจะได้เลิกประมาณ บ่ายสาม เราจะได้นั่งเรือกลับไปบางกะปิ กลับไปช่วงนั้น รถจะได้ไม่ติด หนังฉาย 13.10 น, ทำให้เรามีเวลาไปซื้อขนม ที่ S&P ที่เพิ่งมาเปิดร้านที่ Isetan เราเดินไปดูแป๊บนึง ไม่เห็นขนมที่เราชอบ เลยไม่เอา แปลกดีนะ ตอนนี้ เพิ่งจะเดือน พฤษภาคมเองแต่ วางขนมไหว้พระจันทร์ซะเต็มร้าน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมรีบขายกันจัง เราชอบนะ แต่เราว่ามันเร็วไปอ่ะ ต่อมอยากยังไม่ทำงานเลย 555 แถมราคาโคตรแพง ก้อนนึงเกือบร้อย เอาตังค์ไปซื้อผลไม้ดีกว่า พูดถึงผลไม้แล้ว ดีใจ ที่เราเปลี่ยนนิสัย เราได้ ในช่วงนี้ เพราะจากเดิมที่ชอบกิน Swensen , Baskin , ฝอยทอง ทองหยิบ ฯลฯ เราหันมากินผลไม้มากขึ้น แล้วราคานะ ก็ห่างกันลิบลับ ส้มสายน้ำผึ้ง โลละ30 เราแบ่งกินได้ 3 วัน กล้วย หวีละ 10 บาท เรากินได้อาทิตย์นึง อร่อยเท่ากัน ถูกกว่า แถมดีต่อสุขภาพ ที่พูดนี่ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะเลิกโดยเด็ดขาดนะ เพียงแต่เราลดลง ( ลดเยอะเลยล่ะ มากกว่า50% 5555 )
กลับมาเรื่อง Juno ดีกว่า จากปาะสบการณืเมื่อตอนเช้า ทำให้เราเดาว่า ที่โรงนี้ คงฉายตรงเวลา เหมือน ที่โรง House RCA เราเลยเข้าไปก่อนเวลา แหงอยู่แล้วทเราต้องเข้สเป็นคนแรก ปลื้มใจสุดๆ 5555 เราเข้ามานั่งได้ซัก 2 นาที คนก็เริ่มทะยอยเข้ามา แต่มี่น่าหงุดหงิดที่สุด ก็คือ คู่ผู้หญิงอายุประมาณ เลยวัยกลางคนมาแล้วซักสิบปี มานั่งแถวเดียวกับเราซะด้วย เป็นคนไทยคน ฝรั่งคน มาถึงก็นั่งคุยภาษาฝรั่งกันดังเชียว เราก็พยายามนั่งใจเย็น รักษามารยาทอันดีของคนไทย แต่ในใจอยากบอกออกไปจังเลยว่า เฮ้บ ช่วยไปคุยแถวอื่นได้เปล่า คนจะดูหนัง รำคาญ แต่ยังไม่ได้พูด โอ๊ย เตรียม ไว้หลายประโยค เลย เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวหนังฉายแล้วถ้า ,,, สองคนยังไม่หยุดพูด เฮา จะด่าเป็นภาษาอังกฤษ ให้อายกันทั้งโรงเลย คนยิ่งเยอะๆอยู่ ซัก 20 คนเห็นจะได้
ไม่หยุดว่ะ โอเค นี่ยังโฆษณาอยู่ ให้อภัย (แต่ข้างในงี้เดือดปุดๆ ) เอาล่ะ ในหลวง เสด็จแล้ว ดีนะ ที่เงียบไปแป๊บนึง พอให้อภัยได้ เอ้า เพลงจบแล้ว คนในโรงยังไม่นั่ง ปลื้มใจจัง จนภาพเลือนจากจอแล้วทุกคนนั่งลงพร้อมกัน รวมทังคู่ปากมากนั่นด้วย เอาล่ะ พอให้อภัยได้อย่างน้อยก็รูจักกาละเทศะ เออ เงียบซะที
หนังเรื่องนี้ ได้ข่าวว่า เป็นหนังได้รางวัล ออสการ์ด้วยนะ นางเอกชื่อ Juno อายุเพิ่งจะเริ่มวัยรุ่เองแต่เสียสาวเร็วกับเพื่อนในห้องเรียนนั่นแหละ ดุเรื่องนี้แล้วก็เพิ่งจะเข้าใจวัฒนธรรมฝรั่ง ไม่เห็นเค้าเดือดร้อนอะไร ท้องก็ท้อง บอกพ่อแม่ว่าท้อง แล้วก็แล้วกัน แต่หนังทำให้แห็นว่า ปัญหาที่เราเห็นว่าใหญาโตซะเต็มประดาเนี่ยสุดท้ายแล้ว ครอบครัวนั่นแหละ ที่ช่วยให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี ทุกคนช่วยกันให้กำลังใจ ดูไปดูมาไม่เห็นมีใครในเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็เรื่องนี้เลย แปลกดีแฮะ นางเอกก็น่ารักมาก ( หน้าตา น่ารักมาก ) มั่นสุดๆ ท้องแล้วก็แล้วกัน จะให้ทำไง ก็ไปหาคนมาเป็นพ่อแม่บุญธรรมให้ซะเลย เพราะมีคนอยากได้ลูกเยอะแยะ (ไม่แก้ปัญหาด้วยก่ารทำแท้ง เหมือนหลายๆประเทศแถวเอเซีย) หนังเสนอทางออกของปัญหาให้ลงตัวได้อย่างสวยงาม ทุกคนมีวามสุข ดูแล้วอมยิ้มตลอดเรื่อง บอกไม่ถูก มันรู้สึกเติมเต็มอยู่ข้างใน ทั้งที่เนื้อเรื่องน่าจะเครียดออกจะตายไป แต่ไม่ยักเครียดแฮะ ต้องยกความดีให้คนเขียนบท และคนกำกับการแสดง ที่แต่งเรื่องที่แสดงทางออกของปัญหาสังคมได้เจ๋งมากๆ เรื่องหนักกลายเป็นเบาโหวงไปเลย จริงๆแล้วเราอยากให้รางวัลส่วนตัวกับแม่เลี้ยงนางเอก เราประทับใจหลายตอน ที่ถึงแม้จะเป็นแค่แม่เลี้ยง แต่โคตรเข้าใจนางเอกเลย ช่วยทุกอย่ง แบบสุดฤทธิ์สุดเดช ช่วยถียงแทนนางเอกเอย แสดงอาการดีใจแบบออกนอกหน้าเอย ตอนที่จะไปคลอดน้องเอย โอ๊ย ประทับใจเยอะแยะ ถ้าไม่มีตัวลครตัวนี้ รับรอง หนังล่ม
สรุป ก็สมควรอยู่หรอกที่จะได้รางวัล ถ้าใครอยากมาดูหนังที่นางเอกหน้าตาจิ้มลิ้ม มาดูเรื่องนี้ รับรองไม่ผิดหวัง เนื้อเรื่องก็ไม่หนักอย่างที่คิด ดูสนุกมากๆ สมแล้วที่ได้รางวัล แนะนำว่าควรไปดู จะได้รักครอบครัวมากขึ้น ไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีบ้าๆบอๆ แบบที่เคยทำกัน เอาไปเลย 8.5/10



เนื้อเรื่องย่อภาพยนตร์ จูโน่ Juno จาก http://www.mono2u.com/
สบายๆ เมื่อต้องออกเดินทางผจญภัยทางอารมณ์เป็นเวลา 9 เดือนสู่ความเป็นผู้ใหญ่ จูโน่ทั้งฉลาดและเป็นตัวของตัวเอง แต่ถึงบุคลิกจะดูแรง ลึกๆแล้วเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวที่กำลังเรียนรู้ชีวิตเท่านั้น.... ขณะที่เด็กสาวคนอื่นๆในโรงเรียนคุยอัพเดทกันเรื่อง My Space หรือไปช้อปปิ้งตามห้าง จูโน่กลับใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง และบ่ายอันน่าเบื่อวันหนึ่ง ก็ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป เมื่อเธอตัดสินใจมีเซ็กซ์กับเพื่อนชายหน้าตาซื่อใส พอลลี่ บลีกเกอร์ (ไมเคิล ซีร่า) และตั้งท้องอย่างไม่ตั้งใจ จูโน่ปรึกษาเรื่องนี้กับ ลีอาห์ (โอลิเวียร์ เธิร์ลบี) เพื่อนสนิท และวางแผนกันว่าจะยกเด็กในท้องให้คู่สามีภรรยาสุดเพอร์เฟ็กต์คู่หนึ่งในย่านชานเมืองเพนนีเซเวอร์....
ซึ่งเป้าหมายที่จูโน่เล็งไว้คือ มาร์ค และ วาเนสซ่า ลอริ่ง (เจสัน เบตแมน และ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) คู่แต่งงานฐานะร่ำรวยที่อยากมีลูกมานาน โชคดีที่จูโน่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อและแม่เลี้ยง (เจ.เค. ซิมม่อนส์ และ อัลลิสัน แจนนี่ย์) หลังจากช็อคนิดหน่อยในตอนแรกที่รู้ว่าลูกสาวท้องกับหนุ่มหน่อมแน้มอย่างบลีกเกอร์ ทุกคนในครอบครัวก็รวมตัวกันช่วยจูโน่ แม็คผู้เป็นพ่อไปคุยกับมาร์คและวาเนสซ่าเพื่อดูว่าสามีภรรยาคู่นี้เป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า ส่วนเบรนผู้เป็นแม่เลี้ยงก็ให้กำลังใจเมื่อจูโน่ต้องเผชิญความผันผวนทางอารมณ์จากการตั้งท้องก่อนวัยอันควร แต่เมื่อใกล้วันคลอด ชีวิตคู่อันสมบูรณ์แบบของมาร์คกับวาเนสซ่าก็ส่อเค้าล่ม หลายฤดูกาลผ่านไป ท้องของจูโน่ก็ยิ่งโตขึ้น ภาวะทางจิตใจของเธอก็โตขึ้นด้วย จูโน่แก้ปัญหาด้วยปฏิภาณที่นำหน้าเด็กวัยเดียวกัน และกลายเป็นสาววัยทีนที่ทั้งฉลาดและเหนือความคาดหมาย....

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,5/20/2008 02:43:00 PM
Never Back Down : กระชากใจสู้ แล้วคว้าใจเธอ
ไม่อยากคุยเลยว่า ตั๋วฟรีอีกแล้ว แต่คราวนี้อยากไฮโซนิดนึง หนีไปดูที่ เอสเอฟเวิลดิ์เทรด ชั้นเจ็ด ด้วยความที่ไฮโซ เลยต้องเพิ่มตังค์อีก 20 บาท ( ตั๋วดูได้แค่ 120 บาท แต่ตั๋วที่นี่ราคา 140 บาท เท่า พารากอนเลย แพงอ่ะ แต่ทำไงได้ ผีถึงป่าช้าแล้ว) วันนี้ ตั้งใจดู 3 เรื่องเลยนะ มีเรื่อง Juno , Never Back Down , หนังไทยนอกกระแสอีกเรื่องแต่เรื่องนั้น ฉายเฉพาะรอบทุ่ม เลยอดดูเลย เพราะว่า ดึกเกิน เดี๋ยวเรือหมด อดกลับบ้าน
นั่งรถเมล์สาย 514 จาก ซอยมหาดไทยไปลงที่ Big C ราชดำริ ใช้เวลาแค่ 50 นาทีเอง วันนี้ รถไม่ติดเพราะเป็นวันวิสาขบูชา ออกเดินทางตอน 9.30 น, ถึงทีหมายตอน 10.20 น,เหลือเวลาเยอะแยะเลย เพราะหนังเข้าตอน 11.00 น, เลยแวะไปกินข้าวที่ Big C ก่อนดีกว่า เพราะอาหารถูกกว่า 5555 เสร็จแล้วก็ข้ามไปเอา Daily Xpress ที่ Mc donald ชั้นสองฝั่งเซ็น แต่ไม่มีแฮะ ไม่รู้ว่า ยังไม่มาส่งหรือว่าหมดสัญญา ไม่ให้วางแล้วก็ไม่รู้ เลยไม่ได้เล่น Sudoku เลย เฮ้อ ทำไรดีล่ะ หนังยังไม่ฉาย ไปเล่น เน็ตฟรีที่ TMB Library ดีกว่า มีน้ำ กะ ขนมให้กินฟรีด้วย
เอาล่ะ ใกล้เวลาฉายแล้ว เราก็เดินขึ้นบันไดเลือ่นไปชั้นบน ตอนแรกว่าจะแวะซื้อขนมที่ Tops ก่อน แต่ไม่เอาดีกว่า ตะกี้กินขนมฟรีมาจนพุงกางแล้ว น้ำฟรีก็เอาติดตัวมาด้วยหนึ่งแก้ว ยังไงคงไม่หิวขนมจนเป็นลมในโรงหรอกน่า 5555
เฮ้ย ในโรงไม่มีคนเลย ไม่มีจริงๆ หนังก็ฉายไปแล้วด้วย มาไม่ทันถวายความเคารพอีกต่างหาก ซักพัก คนก็เข้ามา สรุปทั้งโรงมี 5 คนเอง ไม่เป็นไร ดีซะอีก คนน้อยๆจะได้ไม่ต้องมีเสียงคนคุยกัน ขึ้นฉากแรกมาก็เดาเรื่องได้แล้ว สงสัยต้องเป็นแนว พระเอกที่ตอนแรกไม่เก่ง โดนแกล้ง สุดท้ายก็ไปได้อาจารย์ดี ฝึกซ้อมจนเก่งแล้วก็มาต่อสู้กู้ศักดิ์ศรีคืนในที่สุด ฮูเร แล้วก็เป็นดังคาด เป็นตามนี้เป๊ะ ( รู้แล้วก็ยังอยากดู อ้าว ก็มันไม่มีอะไรให้ดูนี่นา) เรื่องนี้ ถ้าอยากมาดูคนสวยๆหล่อๆ รับรองไม่ผิดหวัง เพราะดาราโอเคทุกตัว พระเอกมองไปมองมา หน้าคล้ายๆ ทอม ครูซ แต่ตัวสูงกว่า แต่เราชอบดู ทอม ครูซเล่น เพราะพูดชัดมากๆ ฟังง่ายดี นางเอกก็สวย หุ่นอึ๋มเชียว มีฉากใส่ชุดราตรี โนบรา เห็นแล้วอยากกิน โฟร์โมสขึ้นมาทันที ผู้ร้าย ( จริงๆไม่ถึงกับร้ายมากมายอะไร แค่ชอบดูถูกคน ) ก้เท่ห์ เห็นแล้วอยากไปต่อยมวยจะได้มีหุ่นเท่ห์ๆเหมือนตัวโกงในเรื่อง 5555
ดาราตัวอื่น อย่างคุณมืดที่เป็นอาจารย์ พระเอก ก็แสดงโอเค เล่นด้วยสายตาเป็นส่วนใหญ่ พูดน้อย ต่อยมาก เราว่า ถ้าเปลี่ยนตัวแสดงตัวนี้ เป็นคนไทย จะสนุกกว่านี้มากเลย เพราะวา อีตามืดนี่เล่นเป็นอาจารย์สอนมวยไทย แล้วใครในโลกกันล่ะ ที่จะสอนมวยไทยได้ดีเท่าคนไทย ( คนไทยจงเจริญ ) มันก็เลยดูขาดๆยังไงก็ไม่รู้ คิวบู๊เรื่องนี้ ถ่ายได้ดีเชียวแหละ ดูสนุก เกือบๆเท่าองค์บาก หรือ ต้มยำกุ้ง ( แต่ไม่เท่าหรอกนะ ยังไงเราก็ยังปลื้ม จา พนม อยู่ดี 555 ) เอาเป็นว่า ดูมันส์ ใช้ได้
เรื่องนี้ ถ้าไม่ชม น้องชายพระเอก ก็คงแย่เต็มทนเพราะช่วยทำให้เนื้อเรื่องดูมีเนื้อหา มากกว่าแค่ต่อยกันทั้งเรื่อง บทของน้องชายก็ไม่มีอะไรมาก ก็มาช่วยแซวพระเอก นางเอก ทำให้มีสีสันขึ้นอีกนิด
สรุป เราให้ 7.2 / 10 สำหรับ ดารา และ คิวบู๊ ที่ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ แต่ คะแนนที่หายไปเพราะเนื้อเรื่องที่ซ้ำซาก จำเจ เดาได้ตลอดเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ จะเดาผิดก็ตอนเดียว ตอนที่ สู้กันนัดสุดท้าย แล้ว ผู้ร้ายถูกปรับแพ้ จนพระเอกก็ถอนตัวไม่แข่งต่อ สุดท้ายก็ต้อมาดวลต่อข้างนอก ฉากนี้เราเดาผิด เพราะมัวแต่งงอยู่ว่ามนจะเอาไงต่อ แล้วแถมยังเป็นไคลแม็กซ์ของเรื่อง ดูมันส์ดี สุดท้ายเราชอบตอนจบ ที่ จบแบบ Happy Ending ตัวละคร มีทางออกทุกตัว ไม่เครียดดี ทำให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ของการมาดูหนังตามระเบียบ

เรื่องย่อ จาก http://hilight.kapook.com/

Never Back Down เล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มจิตใจดีคนหนึ่งชื่อเจค ไทเลอร์ (ฌอน ฟาริส) ที่ผ่านชีวิตทรหดมามาก และได้เรียนรู้ว่าในชีวิตของทุกคนต่างก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยกันทั้งสิ้น หนุ่มเจค เกิดและโตในไอโอว่า เมื่อย้ายมาอยู่ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ที่มีตึกหรูตั้งเรียงรายเต็มไปหมด เขาจึงรู้สึกแปลกที่ กิจกรรมประจำวันของเด็กวัยรุ่นบ้านรวยแถวนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากซิ่งรถหรูไปมา, ใส่บิกินี่ลากแตะเดินเฉิดฉาย ก่อความรำคาญใจไปวันๆ สำหรับพวกเขา ชีวิตคือปาร์ตี้สุดเหวี่ยง เจคเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลดาวรุ่งตอนอยู่บ้านเก่า แต่ที่นี่เขาเป็นแค่คนนอก ด้วยความที่เป็น "เด็กใหม่" นิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใคร แถมยังแต่งตัวบ้านนอกไม่ไฮโซเหมือนคนอื่น เจคจึงไม่ค่อยมีเพื่อน แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก บุคลิกเงียบขรึมและแปลกแยกของเขามาจากการสูญเสียพ่อ และไม่นาน ปัญหาในอดีตก็กลับมากวนใจเขาอีกครั้ง เมื่อคลิปวิดีโอที่เขามีเรื่องชกต่อยตอนแข่งฟุตบอลสมัยอยู่ไอโอว่าถูกส่งต่อไปทั่วโรงเรียน ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ บาจา (แอมเบอร์ เฮิร์ด) ในชั้นเรียน เธอสวย และฉลาดกว่าที่ใครคิด บาจาชวนเจคไปงานปาร์ตี้ แต่เจคกลับถูกตัวร้ายประจำโรงเรียนอย่างไรอัน แม็คคาร์ทนี่ย์ (แคม จิแกนเด็ท) ท้าสู้โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ผลคือเจคแพ้ไม่เป็นท่าและรู้สึกอับอาย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ไว้ใจใครอีก โดยเฉพาะบาจา ที่อาจเป็นตัวการหลอกให้เขาไปปาร์ตี้ แต่เพื่อนร่วมชั้นนิสัยดีชื่อแม็กซ์ (อีวาน ปีเตอร์) มองเห็นความเป็นแชมป์ในตัวเจค จึงแนะนำให้เขารู้จักกีฬาประเภทหนึ่งที่รู้จักกันในนาม "ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน" และชวนเขาไปพบครูฝึกชื่อฌอน โรควา (ดไจมอน ฮานซู) ไม่นานเจคก็ได้รู้ว่า การต่อสู้แบบผสมผสานไม่ใช่แค่การชกต่อยกันข้างถนน แต่เป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งที่เขาต้องการเป็นหนึ่ง โรควาพร้อมจะฝึกเจค แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจคเองว่าจะมีความอดทน, มีวินัย และมีแรงผลักดันพอหรือเปล่า สำหรับเจค มีหลายอย่างที่สำคัญกว่าชัยชนะ เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ทำคะแนน แต่คือการค้นพบตัวตนผ่านการต่อสู้ชนิดนี้ด้วย

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Sunday, May 18, 2008,5/18/2008 02:32:00 PM
Prepare yourself before going out in Bangkok
If you have a chance to read this article, please be informed that you are going to read something about Thailand, especially about living in Bangkok. I made a promise to myself and my friend, Helena (thanks for inspiring me to do such an incredible thing!!!) that
I will write something in English once a week, but I must confess that English is one of my weaknesses, besides Geography and History. :P
In case you are one of the Thai readers finding this blog accidentally, you will see that most of the articles (all, actually) are written about the movies I’ve seen. Some are criticized by my own attitude plus feelings at that moment without any supporting facts. No matter what, this blog should not be used as a reference (I’m warning you!!!)

The first article of living is about living in Bangkok happily. Before you come to Bangkok, you should study a bit about our country first. Thailand (and Metropolitan Bangkok) is located along the Equator, which means that our climate is totally hot (like hell, maybe… I’ve never been there, but this is my guess!!) and extremely humid. I once read a magazine article interviewing people from many countries and there are a large number of people in the world that do not know where Thailand is! Oh God!! (Don’t they know about Siamese Cats, Siamese twins, Tom yum Kung?!?!)
The sunlight is very, very strong and if you want to have a tan, you’ve come to the right place. In Bangkok, we are all more scared of direct sunlight than ghosts! Really, more than anything! Not because we are afraid of skin cancer, but because we don’t want to be darker!!! That’s why the skin whitening market is so successful in terms of sales volume here!!!
You can find tons of sun block in most supermarkets and convenient stores like, 7-11 or Family Mart. If you want to buy it cheaper, the super stores like Tesco-Lotus and Big-C is better. You will get the same product, but cheaper price and sometimes even a premium, depending on promotions, which usually promoted throughout the year anyway!!! The higher UV number, the better the protection from the sun’s harmful ultra violet rays; I’d recommend at least 50+ if you plan to visit the Royal Palace or any of the temples in Bangkok. I guarantee you hardly will find shelters to protect yourself from the harsh sunbeam that will burn your beautiful skin in a second. By the way, don’t forget to choose the water resistant formula as the high humidity of the climate will cause you to sweat all the time. If you think that’s not enough, you might want to use a hat, but to be frank, hats are not commonly used in Bangkok - we don’t wear hats. So in case you have your own, take it along with you. If you don’t, as a Bangkokian, I’m really not sure where to buy one, maybe either JJ Market or the Patphong night bazaar.

Unforgettable!! The sunglasses!!! I’d suggest you to take your own. If you see something nice and cheap in the market or Bae-ka-din ‘(stalls” in Thai) and you think it is worth your money, then buy it. But please understand that there is no good and cheap thing in this world, which means it might look nice, but trust me, it cannot screen any sunlight. Even worse, it may affect your retinas since it will keep your iris opened, allowing the sunrays to destroy your retinas directly. Many prefer to spend a little money on quality sunglasses with true UV protection rather than being blind. ;)

Labels:

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Friday, May 16, 2008,5/16/2008 06:01:00 PM
What Happens in Vegas : มะรุมมะตุ้มจุ้นรักที่เวกัส
ตั๋วฟรีอีกแล้ว ฟรีจากไหนบ่อยจัง ใบนี้ได้มาจากการดูหนังแบบถี่จัดในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมันจะ expired ในเดือนพฤษภาคมนี้แล้ว ( ก็เดือนนี้แหละ ) ก็เลยต้องรีบมาใช้ ซะให้หมดๆ ก่อนที่เดือนหน้าจะต้องไปใช้โปรโมชั่น บิโอเร ที่โรงในเครือ SF เป็นอันดับต่อไป เฮ
เลือกดูที่ เมเจอร์ บางกะปิ แล้วก็เลือกเรื่องนี้ เพราะว่าต้อง ดูในสัปดาห์ที่สอง ตามเงือนไขของ โปรโมชั่นตั๋วฟรี เรามาซื้อตั๋วเอาตอนที่เลยเวลาเข้าโรงไปแล้ว 15 นาที ก้ไม่เป็ฯไร เพราะโรงหนังเครือนี้ เค้าโฆษณา 25 นาทีโดยประมาณ ก็เลยเฉยๆ เผลอๆ จะลงไป shopping ซื้อข้าวโพดคั่วที่ tesco ข้างล่างเหมือนเคยอีกต่างหาก 555
ม่เอาดีกว่า นั่งดูโปรเจคเตอร์ที่โฆษณาหนังหน้าโรงก่อนดีกว่า มี อินเดียน่า โจนส์ด้วย อยากดู อยากดู เข้าอาทิตย์หน้าแล้ว ( 22 05 08 ) โหยรอมาเกือบ 20 ปี นึกถึงตอนนี้แล้ว ภาพอดีตสมัยที่เรายังเด็กๆ ไปดูหนังกับที่บ้าน มีพ่อ มีแม่ มี เรา กับน้องๆ ก็พรั่งพรูเข้ามาในความทรงจำ เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ มีความสุขมากๆ มองไปที่นาฬิกา โอเค ถึงเวลาเข้าโรงแล้ว
โฆษณา เอไอเอส พอดี แสดงว่า ใกล้ร้องเพลงสรรเสริญแล้ว ดีเลย ไม่ต้องรอนาน คนในโรงเยอะแฮะ นับได้ 50-60 คนเห็นจะได้ นี่ขนาด week สอง แล้วนะเนี่ย แถมคนรอบนี้ ก็น่ารักด้วย เพลงสรรเสริญจบอย่างสมบูรณ์ ถึงค่อยนั่งเป็นส่วนใหญ่ จะมีนั่งก่อนก็แค่ คนสองคน อารมณืเราเลยไม่ค่อยเสียแล้ว ทำใจ
เป็นหนังตลก ที่ทำให้เราตลก ขำๆ ได้แทบ ตลอดเรื่อง ไม่ได้หัวเราะก๊าก แบบ มิสเตอร์บีนนะ แต่ขำยิ้มๆอ่ะ น่ารักดี เราชอบ คาเมรอน ดิแอซ อยู่แล้ว เราว่า เธอ น่ารักดี (หุ่นดีอีกต่างหาก )แต่เรื่องนี้ ก็ทำให้เราเห็นสัจจธรรมของชีวิตนะ ก็เรื่องนี้ เธอดู สูงวัย ขึ้นเยอะเลย (ไม่อยากใช้คำว่าแก่ มันโหดร้ายเกินไป ) เนื้อเรื่องก็แปลกนิดๆ ปนเหลือเชื่อหน่อยๆ อ่านเอาจากข้างล่างก็แล้วกัน
ชอบฉากกินข้าวโพดคั่ว ที่พระเอกเอามือเกาเป้าแล้วเอามือนั้นล้วงไปหยิบข้าวโพดคั่วในมือนางเอก ตลกสุดๆ นึกแล้วยังขำ คนคิดมุข คิดได้ไง โคตรอุบาทว์ แต่เราจะจำเอาไปใช้กับแฟนเรามั่ง 5555 ( ไว้แฟนเรากลับมาจาก อเมริกา เมื่อไหร่ ต้องใช้มุขนี้ รับรอง กรี๊ดสลบ )
มานั่งเอาแบบจริงๆจังๆ เราก็จำอะไรแทบไม่ได้นะ ทั้งๆที่เพิ่งดูจบ แต่เป็นความเพลิดเพลินมากกว่า หนังเรื่องนี้ก็โอเคสำหรับเรานะ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นหนังตลก ก็มาหัวเราะอยู่แล้ว หนังแนว Romantic Comedy ก็คงหัวเราะได้แค่นี้ มากกว่านี้ คงต้องไปดู หม่ำแทนแล้วล่ะ
สรุป เราไม่มีอะไรพูดมากนอกจากบอกว่าตลกดี ดูเพลิน ไม่ซีเรียสเลย ถ้าให้ดูอีก ก็อาจจะดู (แต่ต้องทิ้งช่วงไปซักเดือนนะ ) อื่นๆก็ธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เนื้อเรื่องก็โอเคนะ แต่ก็เป็นแนวน้ำเน่าแบบฝรั่งๆอ่ะ พอรับได้ สรุปแล้วเราให้ 6.5 / 10

เนื้อเรื่องย่อ จาก http://www.zubzip.com/movie/
แจ๊ค ฟูลเลอร์ (แอชตั้น คุทเชอร์) หนุ่มเจ้าเสน่ห์นักปาร์ตี้ตัวยง กับ จอย แม็คแนลลี (แคเมร่อน ดิแอซ ) สาวนักค้าเจ้าขนบยึดประเพณีปฏิบัตินี่ต่างคนต่างมาลาสเวกัส ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หวังหาความสุขเต็มที่ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้ามายังเมืองบาปแห่งนี้พึงจะแสวงหาได้ แต่ความสนุกสนานสุดเหวี่ยงจนแทบจำความบางช่วงบางตอนไม่ได้เลยนี่จบไม่สวยนัก ก็หนุ่ม-สาวชาวนิวยอร์คคู่นี้ตั้งใจแค่จะมาพักผ่อน แต่ดันไปจดทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานให้ได้ช็อคกันหลังจากสร่างสนิทได้สติเต็มที่ว่า ระหว่างที่หฤหรรษ์สไตล์เวกัสกันนี่ได้ทำผิดครั้งสำคัญทำพลาดครั้งมหันต์เข้าให้เต็ม ๆ
ยัง ชุลมุนอลเวงยังไม่สาแก่ใจ แจ๊คและจอยไม่เพียงแค่ตกร่องปล่องชิ้นเป็นทองแผ่นเดียวกันเท่านั้น แต่ชะตาฟ้าลิขิตให้คู่ข้าวใหม่ปลามันได้รางวัลจากสล็อตแมชีนสูงถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็จะไม่ให้ยุ่งเหยิงสุด ๆ ได้อย่างไร ในเมื่อแจ๊คเป็นคนหยอด แต่ดันใช้เหรียญที่จอยแลกมาหยอดสล็อตแมชีนซึ่งเธอเล่นอยู่ก่อนไง หรือว่ากลับกันเป็น แจ๊คแลกเหรียญแต่จอยมานั่งหยอดเล่นเย็น ๆ ใจ แล้วเงินแจ๊คพ็อตก้อนโตจะเป็นของใครกันล่ะ

โชคชะตายเล่นตลกเอาล่อเอาเถิดกับหนุ่ม-สาวคู่นี้หนักข้อยิ่งขึ้น เมื่อกลับถึงแมนแฮ็ทตัน ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วต้องเจอกับคำตัดสินเด็ดขาดจากผู้พิพากษาที่ไม่เคยยอมลดราวาศอกอย่าง ว็อปเปอร์ (เดนนิส มิลเลอร์) ที่บังคับให้แจ๊คกับจอยต้อง “ครองชีวิตสมรสภาคบังคับ” เป็นเวลา 6 เดือน แม้ว่าสตีฟ “ใครเห็นก็เหม็นขี้หน้า” เฮเดอร์ (ร็อบ คอร์ดดรี้ ) ที่เป็นทั้งเพื่อนซี้และที่ปรึกษาทางกฎหมายของแจ๊คจะพยายามคัดค้านสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ผู้พิพากษาว็อปเปอร์ก็ไม่ยอมตัดสินให้การแต่งงานเป็นโมฆะ แถมยังสั่งให้ระงับการจ่ายรางวัลแจ๊คพ็อตไว้จนกว่าหนุ่ม-สาวคู่นี้จะพิสูจน์ให้เห็นชัด ๆ ว่า พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะประคับประคองให้ชีวิตสมรสแบบจับพลัดจับผลูครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งนั่นหมายถึง การใช้ชีวิตอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน, การเข้าพบที่ปรึกษาปัญหาครอบครัวกันทุกอาทิตย์, และเรื่องที่ผู้พิพากษาว็อปเปอร์เชื่อว่าคนรุ่นใหม่อย่างแจ๊คและจอยไม่อยากจะทำสุด ๆ นั่นคือ “การพยายามอย่างทุ่มเท” ผู้พิพากษาหัวดื้อยืนยันหนักแน่นว่า มิเช่นนั้นจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแย่งชิงรางวัลแจ๊คพ็อตกันนานเป็นปีเป็นชาติ แถมสุดท้ายแล้วค่าทนายก็จะสูบเอาเสียจนไม่ว่า แจ๊ค หรือ จอย ก็จะไม่ได้เงินแม้สักเพนนีเดียว
ทั้งคู่จึงจำใจต้องก้มหน้าก้มตารับบทบาทเป็นคู่สามีและภรรยากันจริง ๆ ละทีนี้
แจ๊ค กับ จอย ก็คิดง่าย ๆ ว่า “แหม มันจะยากเย็นเข็ญใจสักแค่ไหนกันเชียว” แล้วก็ตกปากรับคำตัดสินของท่านผู้พิพากษา แต่ก็พบว่าต้องกรำศึกทดสอบขีดจำกัดความอดทนชนิดขำไม่ออก ในสมรภูมิถึงลูกถึงคนชนิดใครดีใครได้ นี่อาจจะเป็นเกม “ใครเสแสร้งรักได้สุดใจชนะไปเลย” ก็ได้นะ
ไม่เคยมีสงครามชิงชังระหว่างสามี-ภรรยาคู่กัดคู่ไหนจะดุเด็ดเผ็ดมันไปกว่า แจ๊คกับจอย อีกแล้ว แถมมีบรรดาผู้ร่วมขบวนการก่ออาชญากรรมความรักอย่าง เฮเดอร์ หนุ่มบู๊เพื่อนซี้ของแจ็ค, ทิปเปอร์ (เล้ค เบล) เพื่อนสาวสุดซี้ของจอยที่ยึดมั่นว่า “สงครามนี้ฆ่าให้เรียบ” และมีพิษสงรอบตัวไม่ด้อยไปกว่าคู่สมรสสุดชุลมุนเลย, แค่นั้นยังไม่สะใจเพราะได้ แจ๊ค ซีเนียร์ (ทรีท วิลเลี่ยม) คุณพ่อบังเกิดเกล้าของแจ็คที่เล่นบทจอมบงการสุดเขี้ยว, แบงเกอร์ (เดนนิส ฟาริน่า) เจ้านายช่างยุของจอย, เมสัน (เจสัน ซุเดคิส) อดีตคู่หมั้นสุดเก๊ก, และด็อกเตอร์ทวิทเชลล์ (ควีน ลาติฟาห์) ที่ปรึกษาปัญหาครอบครัวสุดแสบซ่า ซึ่งคงมากพอที่จะทำให้ความจุ้นชุลมุนวุ่นวายของชีวิตสมรสเก๊ ๆ งง ๆ ป่วน ๆ กวน ๆ ของแจ๊คกับจอยวุ่นถึงระดับปรอทแตกแน่ ๆ
แจ๊คกับจอยจะประคับประคอง “ชีวิตสมรสชุลมุน” ไปได้รอด 6 เดือนตามศาลสั่ง เพื่อให้ได้เงินแจ๊คพ็อต มาแบ่งโดยไม่เผลอฆ่ากันเองเสียก่อนหรือไม่ หรือว่าสถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวงจะพลิก ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยไฟรักวูบวาบ ให้กลายเป็น ชีวิตสมรสที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจนถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชรได้
เชื่อไหมล่ะ ท้ายที่สุดแล้ว อะไรที่จะเกิดขึ้นใน What Happens in Vegas หรือ มะรุมมะตุ้มจุ้นรักที่เวกัส จะต้องทำให้คุณประหลาดใจใหญ่โตแน่ ๆ

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,5/16/2008 05:22:00 PM
Penelope : เพเนโลปี้ รักแท้...ขอแค่ปาฏิหาริย์

ได้ตั๋วฟรีมาอีกแล้ว แน่นอนว่าเราต้องไปดูในเครือเมเจอร์ แล้วที่ใกล้บ้านเราที่สุดก็คือสาขา เอดะมอลล์บางกะปินั่นเอง ความรู้สึกก่อนดูก็คือ เอ หน้าตาของ Penelope จะเป็นไงน๊า เพราะว่าตอนที่ดูตอนโฆษณา มีผ้าปิดหน้าไว้ ( รู้แต่ว่าเป็นหมู ) แต่ไม่รู้ว่า หน้าตาเป็นไง เนื้อเรื่องจะสนุกมั๊ย ....

ไม่อยากเก็บความอยากรู้ไว้แล้ว ไปที่ช่องขายตั๋ว พร้อมเลือกที่นั่ง เราก็เลือกกลางที่นั่งโรงเหมือนเคย แปลกแฮะ เราเป็นคนแรกเลย ไม่มีคนดูอีกแล้ว แต่เคยชินซะแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งแหละว๊า นึกในใจ เหลือเวลาตั้งเยอะ เราเลยเดินลงไป shopping ที่ Tesco ซะหน่อย เพื่อความประหยัด เราก็จะซื้อ น้ำแก้งนึง 10 บาท แล้วก็ซื้อข้าวโพดคั่ว อีก 10 บาท ทั้งหมด 20 บาท ประหยัดกว่าที่ซื้อหน้าโรงตั้งเกือบ 60 บาท เราว่า Tesco สาขานี้ น่าจะเป็นสาขาเดียวหรือเปล่า ที่มีข้าวโพดคั่วขาย แถมอยู่ใต้โรงหนังอีก เลยขายดิบขายดี เคยไปสาขาอื่น อย่างสาขา ซีคอน ก็ไม่เห็นขายนะ ทั้งๆที่อยู่ใกล้EGV ซีคอน ก็เลยไม่รู้ว่า ทำไมไม่ขาย ถ้าขายนะ เราว่าต้องขายดีแหงๆเลย เดินซื้ออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เห็นของน่าซื้อตรึมเลย แต่คิดว่าป่านนี้ หนังตัวอย่างคงใกล้จบแล้ว ( เราไม่ค่อยชอบดูหนังตัวอย่างในโรงเท่าไหร่ เพราะว่าดูรอบสองรอบก็เอียนแล้ว แต่ถ้าไม่เคยเห็นมาก่อนก้จะดูเพื่อวางแผนเตรียมตัวเตรียมเงินจัดโปรแกรมเอาไว้ 5555 ) ก็เลยเอาเวลามา shopping ดีกว่า

เข้าไปในโรง โฆษณาสุดท้ายพอดีเลย ซักพักก็ถวายความเคารพ รอบนี้ คนดูน่ารักมากกกก ทุกคนยืนรอจนพระบรมฉายาลักษณ์หายไปถึงได้นั่งลง น่าชื่นใจ แต่มีคนดูแค่ 10 คนเองอ่ะ ( ชักจะบอกใบ้อะไรๆหรือเปล่าเนี่ย ) ดูไปดูไป นิทานดีๆนี่เอง แต่เป็นนิทานที่สอนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยอิงเหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อมสมัยปัจจุบัน คือนางเอกที่ว่าเนี่ย เกิดมาในตระกูลถูกสาปว่า ถ้าเมื่อไหร่มีลูกสาว ลูกที่ว่าก็จะหน้าเหมือนหมู เลี้ยงจนโตไม่มีใครเอา เพราะหน้าตาเหมือน ตือโป๊ยก่าย ต้องอยู่แต่ในบ้าน จะกินอะไรก็มีคนคอยซื้อมาให้ โชคดีที่บ้านรวย จะเอา จะได้อะไร ก็เลยได้ทุกอย่าง สุดท้ายต้องไปหาว่าที่เจ้าบ่าวมาให้เลือกคู่ เหมือนนางรจนาเลือกเงาะ แต่นี่กติกาง่ายกว่า คือใครเห็นหน้าแล้วไม่หนี ก็เอาคนนั้นแหละ ท้ายสุด หน้าก็กลับกลายเป็นสวยดังเดิมจากฤทธิ์ความเชื่อมั่นภายในตัวนางเอกเอง ( คำตอบสุดท้ายที่ว่า ด้วยความเชื่อมั่นภายในของตัวเองเนี่ย รู้สึกจะเป็นสูตรสำเร็จของหนัง Hollywood ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่เหมือนเรากินของอร่อยๆซ้ำๆกันหลายๆมื้อ ทุกมื้อติดกันนานๆ คิดเอาเองก้แล้วกัน ) หนังมีวิธการนำเสนอที่ไปเรื่อยๆ เด้กๆน่าจะชอบ เพราะมี ตือโป๊ยก่าย มาให้เห็นหน้าตลอดเรื่อง อยู่บ้านก็มีไซอิ๋ว ให้ดู ที่โรงหนังก็มี แฮะ นางเอกคนนี้ ใช่คนที่เล่นเรื่อง Adam’s Family หรือเปล่า รู้สึกหน้าคุ้นๆ หน้าตาตอนเด็กเป็นไง ตอนโตก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย ดูเด็กมากๆ แต่เราว่าตอนมีผ้าปิดปาก สวยกว่านะ

สรุปแล้ว เราเฉยๆนะ มองในแง่สอนคนก็สอนดีอยู่หรอก แต่สอนเรื่องเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เนื้อเรื่องก็เป็นแนวนิทาน เหมาะกับเด้กเล็ก ไม่เหมาะกับคนแก่แดดแก่ลมอย่างเราเท่าไหร่ 555 ดาราก็งั้นๆ ถ้าจะต้องให้คะแนน ก็คงยกความดีให้เฉพาะเรื่องมีเรื่องสอนใจ แต่เนื่องจากซ้ำคำสอนเก่าๆ ก็เอาไป 5/10 ก็แล้วกัน

เรื่องย่อ จาก www.showded.com/movie/

เพเนโลปี้ วิลเฮิร์น (คริสติน่า ริชชี่) สาวสวยที่เกิดมาในครอบครัวผู้รากมากดีมีฐานะไฮโซ (ริชาร์ด อี แกรนท์,แคทเธอรีน โอฮาร่า) เพเนโลปี้ต้องคำสาปของตระกูลที่ส่งผลให้เธอสวยสุกร มีจมูกหมูอยู่บนใบหน้า แต่ก็ยังพอมีหวังที่จะลบล้างคำสาปได้ เมื่อพบคนรักที่ทัดเทียมกับเธอ เธอถูกเลี้ยงดูอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วพ่อแม่ก็จัดดูตัวชายหนุ่มผู้รากมากดีที่หวังว่าจะให้มาเป็นสามีผู้ถอนคำสาปให้กับเธอนั่นเอง ซึ่งหนุ่ม ๆ ก็หลงไหลได้ปลื้ม(ไปกับสินสมรสของ)เธอ...จนกระทั่งเห็นจมูกหมูนั่นแหละ เมื่อมั่นใจแล้วว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอรักแท้แน่นอน เลม่อน (ปีเตอร์ ดิงค์ล้าก) นักข่าวแท็บลอยด์ลงทุนจ้าง แม็กซ์ (เจมส์ แม็คอาวอย) มาอ้างตัวเป็นชายหนุ่มที่อาจจะช่วยลบล้างคำสาป เพียงเพื่อจะได้ถ่ายรูปเพเนโลปี้สุดลึกลับมาแฉขึ้นหน้าหนึ่ง แม็กซ์ที่กำลังถังแตกจากการพนันยอมเล่นตามน้ำ แต่กลับหลงรักเพเนโลเข้าเต็มเปา เขาไม่อยากเปิดโปงเพเนโลปี้ จึงเปลี่ยนใจไม่ทำตามสัญญาว่าจ้างและหายหัวไป ทิ้งให้เลม่อนโกรธแค้นสุด ๆ เพเนโลปี้ผิดหวังอย่างแรงและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เธออยากเป็น จึงหนีออกจากบ้านและออกท่องโลกกว้างเพียงลำพัง แต่เมื่อผ้าคลุมหน้าของเธอหลุดออกและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนทั้งโลกได้เห็น คำสาปที่ทำให้ใบหน้าของเธออัปลักษณ์กลับเป็นที่โปรดปรานของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ และส่งให้เธอกลายเป็นที่ดาวจรัสแสงในชั่วข้ามคืน และนั่นก็นำมาซึ่งคำถามสำคัญของชีวิต และการเป็นคนที่จะได้พบรักแท้


Original Website http://www.penelopethemovie.com/

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Thursday, May 15, 2008,5/15/2008 03:33:00 PM
Counterfeiter : สกัดแผนลวงโลก
เปิดหนังสือพิมพ์ดูโปรแกรมหนังเจอ ภาพยนตร์รางวัล เรื่อง Counterfeiter ซึ่งจัดฉายที่ สกาล่า อยากบอกว่า คิดถึงโรงหนัง สกาล่า สยามสแควร์ มากถึงมากที่สุด เพราะเป็นโรงหนัง Stand Alone ยุคแรกๆของกรุงเทพ ไม่แน่ใจว่า นอกจากโรงนี้แล้ว ยังเหลือ ที่ไหนอยู่อีกบ้าง ( ที่เป็นโรงหนังชั้นหนึ่งนะ ชั้นสองไม่นับ 5555 )

ออกกำลังกายเสร็จ ก็รีบไปนั่งรถเมล์สาย 38 เจ้าประจำ ที่ต้องผ่าน เอกมัย พระโขนง อโศก ประตูน้ำ ฯลฯ นั่งเบาะยาวด้านหน้ารถเลย วันนี้แดดไม่ร้อน เรียกว่า ไม่มีแดดเลยก็ว่าได้ รถก็ไม่ติดเหมือนทุกวันด้วย ดีเลย แบบนี้จะได้ถึงสยามเร็วหน่อย วางแผนไว้ว่า วันนี้อยากกิน Sizzler เพราะอยากกินผัก หมู่นี้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่ค่อยอยากกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่ สงสัยแก่แล้ว 5555 นั่งรถเมล์ฟังวิทยุจาก MP3 มาตลอดทาง ก็ฟังช่อง 96.5 ประจำอยู่แล้ว ไม่เคยเปลี่ยนช่องมา 3 ปี แล้ว ก็รายการเค้าดี มีสาระ วันนี้ เค้าพูดเรื่องหุ้น พอดีเลย ฟังแล้วแทนที่จะดีใจ กลับเซ็งหนักเข้าไปอีก ก็หุ้นตกกันระนาว ที่กลุ้มก็เพราะมีเงินลงทุนไว้นิดหน่อย ไม่กี่ล้าน 5555 ( พูดเล่นนะ ) ฟังไปฟังมา ซักพัก พอถึงอโศก เฮ้ย ทำไมรถติดวะ อาการปวดหัวก็เริ่มกำเริบอีกละ ( โรคประจำตัวครับ ถ้ากินข้าวสาย หรือ ไม่ตรงเวลา จะปวดหัวทุกครั้งเลย แถมวันนี้ ออกกำลังกายมาด้วย ร่างกายอาจต้องการ อาหารไปเลี้ยงสมองมากหน่อย เฮ้อ สงสัยแก่จริงๆด้วยเราเนี่ย แต่ก็ฝืนไม่กินยา เพราะอาจารย์ที่คณะเภสัชฯสอนมาดีมาก เราก็เลย ทำตัวเป็นเภสัชกรที่ดี เชื่อฟังครูบาอาจารย์ แต่อาจารย์ไม่ได้สอนว่า อย่ากินยานะ ท่านสอนว่า ยาทุกตัวกินไปรักษาอาการก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำลายอวัยวะภายในด้วยนะ โดยเฉพาะตับ ที่ทำหน้าที่ในการฟอกสารพิษ เกิดอันตรายได้ง่ายที่สุดเลย )

ตัดสินใจกระโดลงรถเมล์ที่อโศกที่แหละ แล้วไปนั่ง BTS ไปลงชิดลมดีกว่า แวะกิน Sizzler ที่ World Trade ก็ได้ เออ ดีดี บอกตัวเองอย่างนั้น ไปถึงก็สั่งเลย เอาสเต็กปลา ( เพราะถูกสุด 169 บาทเอง 555 ) แล้วก้รีบไปตักสลัดมากิน โอ้โฮ เมนูหลากหลายมาก มีเมนูหนึ่งที่เราชอบกินมาก คือ สลัดปูอัด แต่เราว่า สงสัยคนชอบกินมาก เลยต้องลดต้นทุน เอาปูอัด คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มาทำ ( แต่ก็พอกินได้ ไม่เหมือนปูอัดตามตลาดนัด ที่มีแต่แป้งชุบสี กัดไปรู้สึกเลยว่า กินแป้งมันอยู่ อ้อ มีกลิ่นปูนิดนึง ) แต่ที่เราชอบสุดๆ คือ สลัดกุ้ง นี่ มีกุ้งให้กินด้วยงวดนี้ ค่อยคุ้มค่าเงิน หน่อย เราเลยตักซะเต็มคราบ กินไปกินมาด้วยความงก แต่เชื่อมั๊ยว่า เราตักสองรอบ เราก็อิ่มแล้ว ไม่รู้ทำไมกินไม่ค่อยลง สงสัยเหนื่อยเกินไปรึเปล่าก็ไม่รู้ แถมปวดหัวอีกต่างหาก สงสัยเข้าข่าย Hypoglycemia ( อาการน้ำตาลในเลือดลดลงกะทันหัน ) ตอนแรกเรานึกว่ากินข้าวแล้วจะหายไม่หายแฮะ เออ ช่างเหอะ ไม่เอาแล้วน้องเสต็กปลา เอาเป็นคิดค่าสลัดอย่างเดียวละกัน 139 บาท

หิวน้ำแฮะ ตะกี้เราไม่ได้สั่งน้ำมากินเลย เพื่อความประหยัด ตอนนี้ก็ยังไม่เที่ยงเลย เราไปแวะที่ The Library ที่ชั้นสี่ดีกว่า เรามีบัตรสมาชิกที่นั่น มีน้ำส้มกับขนมให้กินฟรีด้วย ว่าแล้วก็ลงบันไดเลื่อนไปสองชั้น รีบไปจองโต๊ะเล่น อินเตอร์เน็ตก่อน วันนี้ไม่มีคนเลย ทุกทีต้องแย่งกันอย่างกับเก้าอี้ดนตรี แล้วก็เดินไปหยิบคุกกี้มากินเล่น 5-6 ชิ้น เอาน้ำส้มมากินแก้วนึง นึกว่าน้ำตาลในขนมจะทำให้หายปวดหัวได้ ไม่ได้ช่วยเล้ย เล่นเน็ตซักพักก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราต้องรีบไปตีตั๋ว เดี๋ยวไม่ทันหนังฉาย

ไม่ต้องแปลกใจว่าจะเดินไปหรือไร เราเดินแบบนี้แหละ ส บ ม ย ห แต่ตอนนี้ฝนเริ่มตกปรอยๆแล้ว มิน่าอากาศมันถึงได้ร้อนอบอ้าวเหลือเกิน เดินไปเสื้อผ้าก็เปียกไปหมด ทั้งฝนทั้งเหงื่อ ( ทุเรศตัวเองจริงๆ ) ถึงโรงหนังตอนเที่ยง สิบนาทีพอดีเป๊ะ หนังเข้าพอดี เลย ว่าแต่เฮ้ย ไม่มีคนดูเลยว่ะ ทั้งโรงมี 10 คนเอง

ช่วงที่เรารอหนังฉาย เราก็หันหน้ามองไปรอบๆ มีคนนั่งกระจายไปทั้งโรง เรานับที่นั่งได้ทั้งหมด ประมาณ 700-800 ที่นั่ง นะ โรงใหญ่มาก เราชอบบรรยากาศในโรงนี้อ่ะ เราว่า ใกล้เคียงกับ Pavalai ที่ Paragon เลยนะ ( ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ) ความทรงจำต่างๆสมัยเราเรียนอยู่ที่คณะ เภสัชฯ เริ่มกลับมา นึกถึงวันที่เรากระโดดเรียน มานั่งดุหนังกับเพื่อนๆ แล้วอยากให้มี Time Machine จะได้ย้อนเวลากลับไป แหม มีความสุขมาก ตอนนั้นรู้สึกตั๋วใบละ 30 บาทเองมั๊ง

สักพัก ก็ถึงเวลาถวายความเคารพ ตอนนี้แหละเป็นเวลา ที่เราจะได้สังเกตคนดู ตอนที่เพลงร้องว่า “ดุจจะถวายชัย ชโย “ เราเห็นฝรั่งสองสามีภรรยา ( เดาเอาว่า เค้า เป็นแฟนกัน ) อยู่ตรงกลางๆโรง ยืนตรงมากๆอยู่อย่างนั้น จนเพลงจบ แล้ว พระบรมฉายาลักษณ์ หายไปจากจอแล้วถึงได้นั่งลง เรานึกชื่นชมอยู่ในใจว่า ทำไม คนไทยเจ้าของประเทศเองแท้ ถึงได้ไม่รู้จักธรรมเนียมการถวายความเคารพเลย นี่เค้าเป็นฝรั่งแท้ๆ เค้ายังให้เกียรตฺกษัตริย์ของเรามากกว่าคนบางคนซะอีก เฮ้อ ( ขอถอนหายใจอีกที )

ต้องขอบอกว่า เราเข้าใจผิดแต่แรก นึกว่า เรื่องนี้ จะมี เบน เอฟเฟล็ก แสดง เพราะตอนมองโปสเตอร์เรื่องนี้ เราเห็นหน้าดารานำ เรานึกว่าใช่ ที่ไหนได้ ดูไปดูมา หนังเยอรมันนี่หว่า พูดภาษาเยอรมันทั้งเรื่องเลย ถ้าใครหวังว่า จะมาดูอะไร หล่อๆสวยๆ หรือ วิว ที่มัน เจริญหูเจริญตา จากหนังเรื่องนี้ ขอบอกได้เลยว่า มาผิดเรื่อง ทั้งเรื่อง มีแต่การทารุณกรรมนักโทษ การรังแก การประหาร มีแต่ความรุนแรง เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับผู้ชายชาวยิวคนนึง ในเยอรมันที่ถูก จับตัวไปโดยทหารเยอรมัน เพื่อให้ไปทำการปลอมแปลงธนบัตรสกุล ดอลล่าร์ และ ปอนด์เสเตอลิง เนื่องจาก ชายคนนี้ มีฝีมือในการวาดรูปและ ปลอมแปลงเอกสารได้แนบเนียนมาก ซึ่งเป็นแผนการในการที่จะทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทั้งสองลง ระหว่างเรื่องก็จะแสดงให้เห็นถึง ความป่าเถื่อนของทหารประเทศเยอรมัน ว่า ปฏิบัติต่อ เชลยชาวยิวอย่างไรบ้าง ใครเคยดู ชินเลอร์ส์ลิสท์ คงนึกภาพออก ยิงหัวกบาลกันเห็นๆ

สิ่งที่เราได้รับโดยตรงจากหนังเรื่องนี้ คือ ได้เห็นว่า มนุษย์ปฏิบัติต่อกันได้โหดร้ายเพียงใด ได้รู้ว่า คนเยอรมัน โคตรโหดขนาดไหน ( ชาตินี้ ขอไม่มีเพื่อนเป็นชาวเยอรมันโดยเด็ดขาด 555 เค้าก็คงไม่อยากได้เราเป็นเพื่อนเหมือนกันแหละ 5555 ) แล้วก็แผนการทำลายระบบเศรษฐกิจ แบบนี้ ไม่รู้ว่า คิดได้ไง สมองโคตรใส

สรุป เราให้ 7 / 10 สำหรับความสมจริงของหนัง และตัวแสดง ที่เล่นได้ดีสมบทบาทมาก เนื้อเรื่องก็กระชับ สามารถแสดงให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้อย่างเข้าใจง่าย สามารถเข้าใจเหตุการร์ที่เกิดขึ้นได้อย่างสมจริงสมจังเหมือนอยู่ในเหตุการร์เลย ( โคตรเครียดเลย) แต่เราไม่ชอบอย่างนึงคือ ตัวแสดง ทำไมไม่หาคนที่หน้าตาดูดีกว่านี้หน่อย ทั้งเรื่องไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่มีคนไหนหน้าตาดูดีซักคน หรือว่า คนในประเทศนี้ ไม่มีคนหน้าตาดีเลยหรือไงเนี่ย

เรื่องย่อจากเวป http://www.showded.com/
ซาโลมอน "แซลลี่" โซโรวิตส์ช (คาร์ล มาร์โกวิชส์)เป็นจ้าวแห่งการทำของเลียนแบบเขาใช้ชีวิตอันเลวร้ายอยู่กับไพ่ เหล้า และผู้หญิงในกรุงเบอร์ลินสมัยนาซีเรืองอำนาจโชคของเขาต้องหมดลงในฉับพลันเมื่อถูก ฟรีดริช เฮอร์ซอก (เดวิด สไตรโซว์) เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงจับกุมและถูกนำตัวไปยังค่ายกักกันเมาธอเซนในทันที

ซาโลมอนแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมที่นั่นและไม่นานเขาก็ถูกส่งตัวไปค่ายกักกันที่ดีกว่าอย่างซซัชเซนเฮาเซนเมื่อมาถึงค่ายเขาได้พบกับเฮอร์ซอกซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจลับอีกครั้งหนึ่งซาโลมอนที่ถูกเลือกมาด้วยความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ร่วมด้วยกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายถูกบังคับให้ผลิตเงินต่างประเทศปลอมภายใต้ชื่อปฏิบัติการเบอร์ฮาร์ด

กลุ่มของซาโลมอนและผู้ถูกกักขังอยู่ที่ค่ายอย่างอดอล์ฟ
เบอร์เกอร์ (ออกัสต์ดีลฮ์)ได้อยู่ในโรงเรือนอันเลิศหรูจากการให้ความช่วยเหลือแก่ทางการแต่ขณะที่ซาโลมอนพยายามทำลายเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสัมพันธมิตรซึ่งเป็นศัตรูของเยอรมนีอดอล์ฟกลับปฏิเสธที่จะใช้ความสามารถของเขาเพื่อผลประโยชน์ของนาซีและเขายังต้องการจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งปฏิบัติการเบิร์นฮาร์ดที่มีส่วนช่วยสนับสนุนสงครามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกด้านศีลธรรมซาโลมอนต้องตัดสินใจกับการกระทำของตนเองซึ่งสามารถยืดเวลาของสงครามและความเสี่ยงของชีวิตเพื่อนๆนักโทษของเขาออกไปได้ท้ายที่สุดแล้วทางที่ถูกต้องนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

Labels: , , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments