วันนี้ เรามีนัดกับเพื่อนสาว( น้อย ) สองคน สมัย เรียนอยู่ที่ NIDA ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า แต่ความน่ารักของทั้งสองคนก็ยังเหมือนเดิม พี่พรรณ ตอนนี้รวยไปแล้ว ทำงานแค่เดือนละไม่กี่วัน แถมยังมีเวลาไปท่องเที่ยวทั่วโลกอีกต่างหาก เป็นที่น่าอิจฉายิ่งนัก ส่วนน้องปุ๋ม นั้น เนื่องด้วยฐานะของที่บ้านดีเป็นทุนเดิม มีบ้านหลังโตในย่านสุขุมวิท จึงไม่ต้องทำงานให้เมื่อย สู้อยู่บ้านเล่น Sudoku เพื่อชิงแชมป์โลกในปีถัดไปดีกว่า 55555
เรานัดกันที่ J-Avenue ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของเราที่จะได้ไปมีกิจกรรมที่นี่ รู้สึกตื่นเต้นมากๆ แต่ยังไงซะ เราก็ต้องไม่ลืมที่จะต้องไปฟิตเนสก่อน เพื่อสุขภาพที่ดี ให้สมกับคนที่เรียนมาทางด้านการแพทย์หน่อย 555 เราตื่นตีห้าเหมือนเดิม แล้วก็ทำธุระส่วนตัวนิดหน่อยก่อนที่จะรีบเดินทางไป Central บางนา เพื่อไปออกกำลังกายแต่เช้า เพราะวางแผนไว้ว่า ถ้าไปให้ทันนัดเราจะต้องออกจาก Central ประมาณ 9.30 ใช้เวลาเดินทาง หนึ่งชั่วโมงก็จะถึง ทองหล่อพอดีเป๊ะ เราไม่ชอบให้ใครมารอเราอ่ะ วันนี้ เรามาถึงฟิตเนสคนแรกเหมือนเดิม รีบวิ่ง รีบยกน้ำหนัก ให้เสร็จแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์ อาบน้ำเสร็จก็ 9.30 ตามเวลาที่กำหนดไว้ตรงเผง แล้วเราก็รีบข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม เช็คสายรถเมล์ดูก็รู้ว่า น่าจะไปได้สายเดียวคือ

สาย 38 จอดหน้าทองหล่อพอดี
เราขึ้นรถเมล์ ได้นั่งด้วย เพราะคนน้อย ถนนก็โล่ง ดูท่าวันนี้ น่าจะเป็นวันที่ดี เพราะอะไรๆก็ดูราบรื่นไปหมด เราก็นั่งทบทวนแผนที่นัดกับเพื่อนๆไปว่าวันนี้ เราจะทำอะไรกันมั่ง อ้อ เรากะว่าจะไปเล่น โบว์ลื่งที่ J-Avenue ก่อน เพ่ะวันนี้ มี Promotion เล่น 4 เกมส์ 100 เดียว ในความรู้สึกเราเราว่าถูกมากๆๆๆ เพราะ ตกแค่เกมส์ละ 25 บาทเอง ปกติรู้สึกว่า จะ 60-80 บาท แล้วเห็นน้องปุ๋มบอกว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่นแถวนั้น เสร็จแล้วก็ไปดูหนังกันต่อที่ เมเจอร์สุขุมวิท ส่วนพี่พรรณ นั้น เป็นพี่ที่โคตรน่ารัก ตามใจพวกเราทุกอย่าง อยากทำอะไรก็ทำ ตามใจน้องๆสุดฤทธิ์ นั่งนึกเพลินๆก็ถึงซอยทองหล่อแล้ว เราถึงปากซอยทองหล่อตอน 10.10 น.ถึงก่อนเวลาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง นึกถึงคำของเพื่อนๆเราบางคนได้ว่า ที่ทองหล่อ เป็นแหล่งของอร่อย เจออะไรก็ซื้อกินได้เลย อร่อยทุกอย่าง
เราเองเป็นคนชอบกินข้าวก่อนคนอื่น ( ขี้เกียจไปเบียดไปแย่งคนอื่น เลยต้องกินก่อน 5555 ) ใจจริงเราอยากชวน เพื่อนๆกินข้าวก่อนไปเล่นโบว์ลิ่งนะ เพราะจะได้มีแรงโยน อีกอย่าง เราเพิ่งออกกำลังมาด้วยเลยหิวมากเป็นพิเศษ ยิ่งมานึกถึงคำเพื่อนที่ว่า ให้หาอะไรแถวทองหล่อกินแล้ว เราก็เลย เดินเข้าซอยเพื่อไปดูซิว่า มีอะไรน่ากินมั่ง
เรายังไม่เห็นอะไรน่ากินเลยตั้งแต่เดินมาจากปากซอย เห็นร้านขายผลไม้ มีมังคุดของโปรดเราด้วย แต่ว่า มันแพง โลละ ตั้ง 30 ที่อื่นเค้าขายกัน โลละ 15 เอง เราเลยไม่เอา จนถึงป้ายรถเมล์ที่

วิ่งรับส่งผู้โดยสารในซอย แหม เก๋ มากๆ มีรถเมล์แล่นภายในซอยของตัวเองด้วย ค่าโดยสารก็แค่ 6 บาทเอง ถูกกว่ารถสองแถวในซอยแถวบ้านเราอีก นั่งมาสบายเลย รถเล็กมาก เก็บตั้ง 9 บาท เราขึ้นไปนั่ง คนแรกอีกแล้ว สายตาเราก็เหลือบไปมองเห็นของโปรดของเราพอดีเลย มันคือ กล้วยทับ นั่นเอง เรารีบลงจากรถเมล์ลงไปซื้อกล้วยทับ แม่ค้าก็คุยดีมากๆใจดีอีกต่างหากแถมให้เราอีก ราดน้ำอีกเพียบ เพราะเราบอกว่าเราชอบแบบน้ำเยอะๆ เราขอบคุณแม่ค้า แล้วสัญญาว่า ถ้าอร่อยนะ เราจะมาซื้อกินทุกครั้งเลย เราขึ้นมาบนรถเมล์อีกครั้ง เผลอแป๊บเดียว คนนั่งเกือบเต็มรถพร้อมออกแล้ว
เรานั่งกินกล้วยทับบนรถเมล์มาตลอดทาง นึกเสียดายที่ซื้อมาน้อยไปหน่อย ( ซื้อมาแค่ 20 บาท ถุงเบ้อเร่อ เราว่าถูกมากๆ ) น้ำจิ้มอร่อย หวาน หอมกลิ่นเนยสุดๆ เราจะจำไว้ว่า อยู่ตรงป้ายรถเมลล์พอดี ตรงข้ามกับร้านไส้กรอกเยอรมัน นั่งกินไปนั่งกินมา ใจก็นึกถึงคำพูดของน้องปุ๋มไปว่า ลงที่ปากซอย 13 นะคะ เพราะว่า J-Avenue อยู่ซอย 13 ด้วยความที่กะเหรี่ยงสุดๆ กลัวหลง เลยรีบลงมาตั้งแต่ซอย 9 ลงมาเดินซะหน่อยดีกว่า บนรถอากาศร้อนมากกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพื่อความมั่นใจเราเลยตัดสินใจถามวินมอไซ แถวนั้นดีกว่า เค้าบอกว่า เดินไปอีกเพ่อยู่ซอย 15 โหนี่เราต้อเดินไปอีกตั้ง หลายซอยนี่ หนอยแน่ เดี๋ยวเจอหน้าต้องต่อว่าซักหน่อย
เรามาถึง J-Avenue ตอน 10.25 น. ดีใจที่ไม่มาสาย อากาศก็ร้อนแสนร้อย กล้วยทับก็ยังไม่หมด เราเดินเข้าไปตากแอร์กินกล้วยทับต่อใน Villa Market ดีกว่า

ข้างใน Villa เหมือนมาอีกประเทศนึงไม่มีผิด ของที่ขาย หลายอย่างเราไม่เคยมาก่อนเลยใน ซุปเปอร์อื่นๆ เช่น มีการ วิปครีม แบบเป็นกล่องๆ แบบตีเสร็จแล้ว พร้อมเอาไปทำเค๊กด้วย เราเคยแต่แบบที่เป็นเสปรย์ ฉีดออกมาเป็นดอกๆเลย แบบนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน ตื่นเต้นมากๆ ซักพักน้องปุ๋มก็มาถึง ก่อน เราเลยชวนเดินตากแอร์ข้างใน ให้เย็นๆก่อน เราเดินออกไปข้างนอกเพื่อหาอย่างอื่นทำแล้วก็รอพี่พรรณไปด้วย ( ได้ยินมาว่า ขับรถหลงอยู่แถวนั้น โถ น่าสงสารน้ำมันก็แพงแสนแพง ต้องโทษน้องปุ๋มคนเดียว ที่บอกทางแบบผิดๆถูกๆ 5555 ) เรานั่งรอที่หน้าร้าน Boots เป็นเก้าอี้ไม้ยาวสีขาว สวยมากๆเลย บรรยากาศก็ดีโคตรๆ เพราะว่ามี ต้นลั่นทมปลูกอยู่เป็นระยะๆ เหมือนนั่งอยู่ที่บ้านเราเลย ทั้งร่ม ทั้งหอม เรานั่งเล่น Sudoku ที่อยู่ใน Daily Xpress ที่หยิบมาจากหน้า Villa แป๊บเดียว น้องปุ๋มก็ทำเสร็จ แถมถูกหมดอีกต่างหาก เก่งจริงๆ มารู้ทีหลังว่า น้องเค้าเล่นทุกวัน จนเป็นเซียนไปแล้ว วันหลังต้องนัดมาดวลกันใหม่ แพ้ใครแพ้ได้ แพ้น้องปุ๋มเรายอมไม่ได้ 5555

ยังไม่ถึงนาทีดี พี่พรรณก็มาถึง เราเลยชวนกันไปกินข้าวแถวนั้น เป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อวัว ซึ่งเราไม่กิน แต่ที่ร้านมีขายข้าวมันไก่ด้วย เราเลยเลี่ยงไปกินข้าวมันไก่ ขอบอกว่า ถ้าใครไม่กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัว แล้วคิดว่ามากินข้าวมันไก่แทน ขอบอกเลยว่า คุณ คิดผิด เพราะไม่อร่อยเลย น้อยอีกต่างหาก จืดเหมือนกินข้าวเปล่า ไก่ก็เหนียว ข้าวก็เย็น สรุป ไม่มีอะไรดีเลย อย่ามากินเป็นอันขาด แต่เราไม่ได้ยินใครบ่นเรื่องก๋วยเตี๋ยวนะ แสดงว่า อาจอร่อยก็ได้ แต่เราไม่กล้าบอกใครว่ามันไม่อร่อยอ่ะ เพราะมมีใครถามเราเลย ( 5555 ต่างคนมัวแต่ต่างกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา) เสียดายนะ เราจำชื่อร้านไม่ได้ โชคดีของร้านไป
พอหนังท้องตึงได้ที่แล้ว ( จริงๆ วันนี้เรากินน้อยนะเนี่ย อ๋อ แน่ละสิ ก็เราเล่นกินกล้วยทับเข้าไปถุงเบ้อเร่อ 555 ) เราก็ชวนกันไปเล่น โบว์ลิ่ง แหม ชีวิต นี้ มันช่างมีความสุขแบบไร้สาระซะนี่กะไร 555 เราขึ้นไปที่ชั้นสี่ ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของ Major Bowl ก้าวแรกที่เห็นเราว่าเราชอบนะ จะตินิดหน่อยตรงที่มันเล็กไปนิดนึง เราจินตนาการ

ไว้ว่า จะมีซัก 20 เลน แต่นี่มันมีประมาณ 8 เลน ได้มั๊ง แต่ดูรวมๆก็สวยดีนะ เก้าอี้ที่จัดไว้ให้นั่งก็เป็น โซฟายาว นั่งสบายเชียว ตอนที่ไปถึงประมาณ เที่ยงๆ มีเลนเปิดอยู่แค่ 2 เลนเอง คือ เลนที่พวกเราเล่น กับเลนของฝรั่งอีก สองเลนถัดไป
พวกเราเล่นกันส่งเสียงดังแบบหลุดโลก เหมือนจะประกาศว่า เฮ้ย พกเราก็มีเงินมาเล่นโบลว์นะเว้ย ไม่รู้เลนฝรั่งเค้าจะนึกนินทาเราในใจมั่งหรือเปล่า ได้แต่นึกเข้าข้างตัวเองว่า น่ะ เค้าคงเข้าใจเรานะ นึกแล้วเราก็แหกปาก ตะโกน ตบมือ ส่งเสียงเชียร์กันเองต่อไปแบบไม่เกรงใจผีสาง
มาเจอกันครั้งนี้ ทำให้รู้ได้ว่า อันฝีมือโบลว์ลิ่งของเรานั้น ต้องกลับไปฝึกมาใหม่อีก 5 ปี ถึงจะสู้กับพี่พรรณ และ น้องปุ๋มได้ พี่พรรณนั้น ไม่ต้องพูดถึง เพราะเล่นกับพี่เค้าทีไร ก็แพ้ตลอด แต่กับน้องปุ๋มนี่สิ ฝีมือเปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังคาบ้านเลย เพราะเล่นดีขึ้นมากๆๆ ได้ Strike ตั้งหลายลูกในขณะที่เราไม่ได้เลย เก่งจริงๆ สรุป เราโยนได้ห่วยสุดๆ 555

เราโยนโบลว์กันคนละ 4 เกมส์ จ่ายไปคนละ 100 เดียว ก็หมอแรงข้าวมันไก่ กับกล้วยทับที่กินเข้าไปตอนเที่ยง น้องปุ๋มกับพี่พรรณบอกว่า อยากลงไปกินไอสะติม กันที่ ร้านข้างล่าง เรานึกภาพไม่ออกเลยว่า ร้านไอสะติมที่ว่า หน้าตาร้านรวงมันเป็นไง เดินตามซักพักถึงได้รู้ว่า ร้านไฮโซที่อยู่ตรงทางออก ที่มีน้ำพุ สวยๆ นั่นน่ะหรือ คือ ร้านขายไอติม Iberry และ ร้านขายเค็ก ด้วย
ร้านบรรยากาศดีมากๆ ไม่นึกมาก่อนว่า จะมีร้านไอติมที่บรรยากาศดีขนาดนี้ เค้าทาสีครีม กับ ขาว ทำให้ร้านดูอบอุ่นน่านั่งมากๆ ทุกอย่าง ที่ใช้ออกโทนสีขาวหมดเลย ดูสว่าง สบายตาดี แต่เราไม่อยากกินเพราะว่า วันนี้เรากินของหวานไปเยอะมากแล้ว ทั้งน้ำ โอเลี้ยงตอนเที่ยง แล้วก็น้ำเชื่อมที่ราดกล้วยทับอีก ความหวานยังคาคอเราอยู่เลย แต่เราหิวน้ำมากกว่า
เรานั่งกินไป คุยไปจนเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง แผนการเดิมที่เราจะกลับไปเล่น โบลว์ลิ่งรอบสอง เลยต้องพับไป เปลี่ยนไปเป็นดูหนังที่ เมเจอร์สุขุมวิทแทน เราไปถึงก็ตีตั๋ว ดูทันรอบ 4 โมงเย็น แต่เวลาเหลือ น้อมปุ๋มเลยออกไอเดีย ไปเล่นกเมส์ตู้หยอดเหรียญจับผิดกัน มันส์ดี ก็เลยถึงบางอ้อ ว่า ผู้เล่นอาวุโส ทั้งสามคน อายุรวมกันร้อยกว่าขวบ โดนเครื่องหลอกเอาตังค์ไป 40 บาท 555555
เราเข้าโรงหนังตรงเวลา ได้ดูโฆษณา หนังใหม่ด้วย ยังไม่มีเรื่องไหน โดนใจเราเลยว่า ต้องมาดูให้ได้นะ โฆษณาผ่านตาแล้วก็ผ่านไปงั้นๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ มาพูดถึงเรื่องหนังดีกว่า หนังเปิดตัวมา เดินเรื่องเร็วมาก แป๊บเดียว ตัวเอกของเราทั้ง 4 คน

ก็กลับไปนาเนียแล้ว ตัวละครที่เป็นน้องสาวคนเล็ก ตัวสูงขึ้นมาก ตัวน้องชายคนรองที่ชื่อ เอ๊ดมัน ก็ตัวสูงขึ้นมากเช่นกัน ทั้งเรื่องมีแต่สู้รบกัน ระหว่าง คนกับตัวประหลาด ถ้าถามเราว่า ประทับใจอะไร กลับไม่ใช่เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องแนวนี้ เราดูมาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว แนวแย่งราชสมบัติเนี่ย แต่เรามาดูเทคนิกมากกว่า เราชอบต้นไม้ที่เดินได้ สิงโตภาคนี้ก็ดูเป็นสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงสิงโตจริงๆมากกว่าภาคที่แล้ว เราชอบฉากที่เค้าพยายามทำน้ำให้ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคน สวยดี ดูน่าทึ่ง นอกนั้น เราไม่ค่อยมีอะไรอยู่ในความทรงจำของเราให้พูดถึงเท่าไหร่เลย ไม่รู้ทำไม หนังตั้งเกือบ สามชั่วโมง เราจำได้แค่นี้เอง แสดงว่า ไม่ค่อยน่าประทับใจ ?
สรุป เป็นการนัดเจอเพื่อนที่สนุก เพราะไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน แต่เรารู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันแค่อาทิตย์เดียวเอง เราชอบกิจกรรมทุกอย่างที่เราทำในวันนี้ ถ้าจะให้แสดงความเห็นเรื่องหนัง เราอยากบอกว่า ไม่เท่าไหร่ นี่ถ้าไม่มีสิโต ไม่มีตัวละครอะไรๆที่มันพิลึกพิลั่น เราก็ไม่รู้ว่า จะมาดูอะไร ทุกอย่างดูเหมืนอผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนกินน้ำเต้าหู้ไม่ได้ใส่น้ำตาล จืดๆ ได้แต่กลิ่นเต้าหู้ แล้วยังไง ? บอกไม่ถูก ไม่ได้ดู ก็เฉยๆ ดูแล้วก็เฉยๆ สู้ดูหนังเอเชีย ที่เราเขียนถึงบ่อยๆ ก็ไม่ได้ มีอะไรให้พูดถึงเยอะแยะ ก็อย่างที่บอก ถ้าจะให้ชม ก็คงจะมีแต่เทคนิคต่างๆ นั่นแหละ ที่ทำดีหน่อย อย่างอื่น หาที่ชมไม่ค่อยเจอ เราว่าถ้าเราให้คะแนนน่าจะได้ซัก 7/10 อ่ะ
อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย:เจ้าชายแคสเปี้ยน(The Chronicles of Narnia: Prince Caspian) จาก www.movieseer.com

ตัวละครที่มีมนต์เสน่ห์ในนวนิยายแฟนตาซีอมตะของ ซี.เอส. ลูอีส ได้ส่องประกายอีกครั้งในเรื่องราวภาคต่อของหนังสือเล่มที่สองจากหนังสือทั้งหมดเจ็ดเล่ม พี่น้องตระกูลพีเวนซี่ทั้งสี่คนได้เดินทางจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองสู่ดินแดนนาร์เนียอีกครั้งอย่างอัศจรรย์และลึกลับ ที่นาร์เนียการผจญภัยครั้งใหม่อันน่าระทึก เต็มไปด้วยอันตรายและแม้แต่การทดสอบชะตาและความกล้าหาญครั้งยิ่งใหญ่กำลังรอพวกเขาอยู่
หนึ่งปีหลังจากเรื่องราวอันเหลือเชื่อใน The Lion, The Witch and The Wardrobe
ปีเตอร์ ซูซาน เอ็ดมันด์และลูซี่ ได้กลับไปยังดินแดนนาร์เนียอีกครั้งตามความต้องการของ แคสเปี้ยน เจ้าชายหนุ่มผู้เป็นรัชทายาทแห่งบัลลังก์เทลมารีนซึ่งตอนนี้ชีวิตของพระองค์กำลังตกอยู่ในอันตราย เวลาในนาร์เนียใด้ล่วงเลยผ่านไปมากกว่า 1 พันปี ยุคทองของนาร์เนียก็ได้สูญสลายไปในช่วงเวลาที่เด็กๆทั้งสี่คนไม่ได้อยู่ในดินแดนแห่งนี้ ณ เวลานี้นาร์เนียถูกปกครองโดย ราชามีราซ ผู้ไร้ความปราณีและมีแผนที่จะกำจัดเจ้าชายแคสเปี้ยนเพื่อให้ลูกชายที่เพิ่งเกิดของตนได้ครองบัลลังก์ ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าคนแคระปีเตอร์และแคสเปี้ยนร่วมกันออกเดินทางเพื่อตามหา อัสลาน สิงโตผู้เคยเป็นราชันแห่งนาร์เนียซึ่งตอนนี้ได้สาบสูญไปนานนับพันปี อัสลานจึงเป็นความหวังแห่งการกอบกู้นาร์เนียให้พ้นจากอำนาจเผด็จการของมีราซ

เรื่องย่อ อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอน เจ้าชายแคสเปี้ยน จาก http://hilight.kapook.com
ตู้เสื้อผ้าไม่อยู่แล้ว…แม่มดขาวก็ตายไปแล้ว…อัสลานก็หายตัวไปเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีแล้ว และบัดนี้ ปีเตอร์, ซูซาน, เอ็ดมันด์และลูซี่ พีเวนซี่ก็ถูกเรียกตัวกลับมายังนาร์เนียอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพบโลกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ณ โลกแห่งนี้ ศัตรูตัวใหม่ได้ก้าวเหยียบสมรภูมิและสิ่งมีชีวิตที่แสนใจดีของแผ่นดินผืนนี้ก็กำลังใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกที
วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ และวอลเด้น มีเดีย ภูมิใจเสนอ The Chronicles of Narnia : Prince Caspian ภาพยนตร์เรื่องที่สองที่สร้างขึ้นจากซีรีส์วรรณกรรมคลาสสสิกจากปลายปากกาของซี.เอส. ลูอิส ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงสานต่อเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจที่เริ่มต้นขึ้นด้วย "The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe" ภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ปี 2005 ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 745 ล้านเหรียญ ทำให้มันเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมา และเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์อีกด้วย
แอนดรูว์ อดัมสัน ผู้กำกับชื่อดัง ("Shrek" ที่ได้รับรางวัลออสการ์, "Shrek 2") ได้สร้างภาพ

ยนตร์นาร์เนียเรื่องที่สองของเขาจากบทภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนกับสองคู่หูมือเขียนบทเจ้าของรางวัลเอ็มมี อวอร์ด คริสโตเฟอร์ มาร์คัสและสตีเฟน แม็คฟีลลี ( "The Life and Death of Peter Sellers" ทางเอชบีโอ) ที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ภาคแรกด้วยเช่นกัน อดัมสันยังได้กลับมาร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างจาก Narnia ภาคแรก ไม่ว่าจะเป็นมาร์ค จอห์นสัน เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (Rain Man, Bugsy, The Notebook) และฟิลิป สเตเออร์ (The Rookie, The Alamo) รวมไปถึงเพอร์รี มัวร์ อดีตผู้บริหารวอลเด้น มีเดีย ผู้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร และผู้ร่วมอำนวยการสร้าง ดักกลาส เกรแชม ลูกเลี้ยงของลูอิส
ผู้ที่กลับมารับบทพี่น้องตระกูลพีเวนซี่อีกครั้งหนึ่งคือสี่นักแสดงดาวรุ่งชาวอังกฤษที่อดัมสันค้นพบในภาคแรก โดยจอร์จี้ เฮนลีย์ อายุ 12 ขวบรับบทเป็นลูซี่ น้องสาวคนสุดท้อง ซึ่งเป็นคนแรกที่ได้พบอัสลานในการผจญภัยในนาร์

เนียของพวกเขา,สกันดาร์ คีย์เนส วัย 16 ปีรับบทเอ็ดมันด์ เด็กชายที่หักหลังพี่น้องของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวในการผจญภัยครั้งแรก, แอนนา ป๊อปเปิ้ลเวล วัย 19 ปี รับบทซูซาน พี่สาวคนโตผู้รอบคอบและรอบรู้ และวิลเลี่ยม โมสลีย์ วัย 21 ปีรับบทปีเตอร์ พี่คนโต กษัตริย์สูงสุดแห่งนาร์เนียที่บัดนี้ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อแย่งชิงดินแดนของเขากลับคืนมาจากการยึดครองของกษัตริย์มิราซผู้ชั่วร้าย
ตัวละครเอกของเรื่องรับบทโดย เบ็น บานส์ นักแสดงละครเวทีชาวอังกฤษวัย 26 ปีที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงของเขาในดรามาเรื่อง "The History Boys" ให้กับคณะเนชันแนล เธียเตอร์ คัมปะนีในลอนดอน ซึ่งเป็นละครเวสต์เอนด์ที่สร้างขึ้นจากบทละครที่ได้รับรางวัลของอลัน เบนเน็ตต์ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเรื่อง "Easy Virtue" ของโนเอล โคเวิร์ด ที่เขาได้แสดงประกบเจสสิกา บีลและโคลิน เฟิร์ธ ได้นำแสดงในภาพยนตร์อินดีเรื่อง "Bigga Than Ben" และได้แสดงในภาพยนตร์แฟนตาซีของแมทธิว วอห์นเรื่อง "Stardust"
ผู้ที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ได้แก่ปีเตอร์ ดิงลาจ (The Station Agent, Death at a Funeral, Elf) ในบททรัมพ์คิน คนแคระแดง ผู้ร่วมทางกับเด็กๆ ตระกูลพีเวนซี่ในการผจญภัยครั้งใหม่และวอร์วิค เดวิส (Willow, The

Hitchhiker’s Guide to the Galaxy, Return of the Jedi) ในบทนิเคบริค คนแคระดำผู้หวาดระแวง
เชน แรนจินักแสดงชาวนิวซีแลนด์ (ไตรภาค Lord of the Rings, The Lion, the Witch and the Wardrobe) รับบท แอสเทอเรียส มิโนทอร์ชรา และนักแสดงละครเวทีมิวสิคัลอังกฤษ คอร์เนล เอส. จอห์น (ละครของเซอร์เทรเวอร์ นันน์เรื่อง Gershwin’s Porgy and Bess, ละครของจูลี เทย์เมอร์เรื่อง The Lion King) รับบทเกลสตอร์ม ผู้นำเหล่าเซนทอร์
นักแสดงหลากหลายเชื้อชาติของเรื่องได้แก่ นักแสดง/ผู้กำกับชื่อดังชาวอิตาเลียน เซอร์จิโอ คาสเตลลิตโต (The Big Blue, Mostly Martha, Don’t Move) ในบทกษัตริย์มิราซผู้ชั่วช้า, เปียร์ฟรานเชสโก ฟาวิโน นักแสดงชาวอิตาเลียน (Night at the Museum, Romanzo Criminale)รับบทผู้นำกองทัพเทลมารีน นายพล โกลเซลล์, นักแสดงชาวเม็กซิกันเดเมียน อัลคาซาร์ (Men with Guns, And Starring Pancho Villa As Himself) รับบทลอร์ดโซเพสเพียน ทหารยศสูงอีกคนหนึ่งในกองทัพของมิราซ, นักแสดงหญิงชาวสเปน อาลิเซีย บอร์รัชเชโร (Periodistas, ซีรีส์ Hospital Central, Love in the Time of Cholera) รับบทราชินีพรูนิพริสเมีย ผู้จงรักภักดีต่อมิราซ ผู้สวามี และนักแสดงชาวฝรั่งเศส วินเซนต์ กราส (Vatel, Ma Vie En Rose) รับบทด็อกเตอร์คอร์เนเลียส ผู้ชาญฉลาด
นักแสดงชาวสก็อต เคน สก็อตต์ (Casanova, King Arthur, The Boxer) ให้เสียงพากย์ตัวละคร CGI ทรัฟเฟิลฮันเตอร์ แบดเจอร์ผู้ภักดี เลียม นีสัน

ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด (Schindler’s List) กลับมาให้เสียงราชสีห์อัสลานอีกครั้งหนึ่ง และนักแสดงตลกชาวอังกฤษ เอ็ดดี อิซซาร์ด (ซีรีส์ The Riches) ให้เสียงรีพิชี้พ หนูนักดาบ
ภายใต้แรงบันดาลใจจากสิ่งมีชีวิตที่รังสรรค์จากจินตนาการของลูอิส นักแสดงมนุษย์จะได้แสดงร่วมกับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์มากมายที่เป็นส่วนผสมระหว่างไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชัน CGI ภายใต้การควบคุมงานของดีน ไรท์ (The Lord of the Rings: The Return of the King, Titanic) ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์มาแล้ว และในครั้งนี้ เขาก็จะได้ร่วมงานกับเวนดี โรเจอร์ส มือเก๋าด้านวิชวล เอฟเฟ็กต์ ผู้เคยร่วมงานกับอดัมสันมาหลายครั้งแล้ว (Shrek, Flushed Away)
ทั้งคู่ ที่ทำการควบคุมงานสร้างช็อต CGI 1,600 ช็อตสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ร่วมงานกับนักร่ายเวทมนตร์ประจำมูฟวิง พิคเจอร์ คัมปะนีที่ลอนดอน (Harry Potter ทั้งห้าภาค, Wallace and Gromit: Curse of the Were-Rabbit), เฟรมสโตร์ ซีเอฟซี เจ้าของรางวัลออสการ์ (Superman Returns, Children of Men, ทั้งห้าภาคของ Harry Potter) และเวตา ดิจิตอล ในนิวซีแลนด์ ริชาร์ด เทย์เลอร์ เจ้าของห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ด (ไตรภาค Lord of the Rings, King Kong) และทีมงานจากเวตา เวิร์คช็อปของเขาเป็นผู้ออกแบบอาวุธยุทโธปกรณ์และเสื้อเกราะให้กับพวกเทลมารีน ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหม่ในดินแดนนาร์เนีย

โฮเวิร์ด เบอร์เกอร์, เกรกอรี นิโคเทโรและทามี เลน เจ้าของรางวัลออสการ์ ยังได้กลับมาออกแบบและช่วยเสริมแต่งสเปเชียล เมคอัพ เอฟเฟ็กต์ของเรื่อง ด้วยการสร้างอวัยวะปลอมให้กับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ในเรื่อง เคเอ็นบี อีเอฟเอ็กซ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทดีไซน์ที่ได้รับรางวัลของเบอร์เกอร์ในลอสแองเจลิส ได้สร้างชุดอนิเมโทรนิคเต็มรูปแบบหลายชุดให้กับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดของนาร์เนีย ซึ่งได้แก่มิโนทอร์, เซเทอร์ และเซนทอร์
โรเจอร์ ฟอร์ด ผู้ออกแบบงานสร้าง ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ (Babe, Peter Pan, The Quiet American), ไอซิส มุสเซนเดน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัล (Shrek, Shrek 2, 10 Items or Less), ซิม อีวาน-โจนส์ มือลำดับภาพ (Shrek, Shrek 2) และแฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์ คอมโพสเซอร์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงแกรมมี (Shrek, Shrek 2, Flushed Away) ต่างก็กลับมารับหน้าที่เดิมจาก "The Lion, the Witch and the Wardrobe" อีกครั้งหนึ่ง คาร์ล วอลเตอร์ ลินเดนล็อบ, เอ.เอส.ซี. บีวีเค (Independence Day, Stargate) เข้าร่วมทีมเทคนิคของอดัมสันในตำแหน่งผู้กำกับภาพ
นอกเหนือไปจากความสำเร็จด้านรายได้แล้ว "The Lion, the Witch and the Wardrobe" ยังกวาดรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงรางวัลออสการ์สาขาเมคอัพยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ในสาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์และซาวน์ รางวัลบาฟตาสาขาเมคอัพยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงบาฟตาสาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์และเครื่องแต่งกาย รางวัลลูกโลกทองคำสาขาสกอร์ประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและเพลง “Wunderkind” ของอลานิส มอริสเซ็ตต์ และยังได้รับการเสนอชื่อชิงแกรมมี จากสกอร์ประกอบภาพยนตร์และการเรียบเรียบเพลง “Can’t Take It In” ของอิโมเกน ฮีพ
The Chronicles of Narnia : Prince Caspian เริ่มต้นการถ่ายทำในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 2007 โดยใช้เวลาหกสัปดาห์ถ่ายทำที่ทั้งเกาะเหนือและเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ที่ซึ่งโลเกชันรวมทั้งซาวน์สเตจของเฮนเดอร์สัน สตูดิโอส์และสถานที่แห่งใหม่ในเขตโคโรแมนเดล เพนนินซูลาที่เกาะเหนือ โลเกชันที่เกาะใต้ได้แก่ฮาสต์ ริเวอร์ วัลลีย์ที่ติดกับทะเลทัสมันทางชายฝั่งเซาธ์ เวสต์แลนด์และป่าใกล้กับพาราไดส์ วัลลีย์และเกลนอร์ชี นอกเมืองควีนส์ทาวน์
หลังจากถ่ายทำในนิวซีแลนด์เสร็จในช่วงปลายเดือนมีนาคม ทีมงานก็ย้ายกองไปยุโรปตะวันออกและซาวน์สเตจในบาร์รันดอฟสตูดิโอส์และโมเดรนี สตูดิโอในกรุงปราก โลเกชันภายนอกในสาธารณรัฐเช็กได้แก่เมืองอูสติทางตอนเหนือของโบฮีเมีย ซึ่งเป็นโลเกชันสำคัญสำหรับฉากสงครามไคลแมกซ์ รวมไปถึงโลเกชันในโปแลนด์และสโลเวเนีย
ถึงเวลาแห่งการเดินทางกลับสู่อาณาจักรแห่งมนตราดินแดนแห่งนาร์เนีย 1 ปีสำหรับพวกเขา คือ 1300 ปีของนาร์เนีย ทุกอย่างที่คุณรู้กำลังจะเปลี่ยนไป ชะตาของทุกคนถูกกำหนดด้วยคนเพียงคนเดียว 29 พฤษภาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

Synopsis :The Chronicles of Narnia(The Prince Caspian) From
http://www.postergeek.com/The characters of C.S. Lewis’s timeless fantasy come to life once again in this newest installment of the “Chronicles of Narnia” series, in which the Pevensie siblings are magically transported back from England to the world of Narnia, where a thrilling, perilous new adventure and an even greater test of their faith and courage awaits them.
One year after the incredible events of “The Lion, the Witch and the Wardrobe,” the Kings and Queens of Narnia find themselves back in that faraway wondrous realm, only to discover that more than 1300 years have passed in Narnian time. During their absence, the Golden Age of Narnia has become extinct, Narnia has been conquered by the Telmarines and is now under the control of the evil King Miraz, who rules the land without mercy.
The four children will soon meet an intriguing new character: Narnia’s rightful heir to the throne, the young Prince Caspian, who has been forced into hiding as his uncle Miraz plots to kill him in order to place his own newborn son on the throne. With the help of the kindly dwarf, a courageous talking mouse named Reepicheep, a badger named Trufflehunter and a Black Dwarf, Nikabrik, the Narnians, led by the mighty knights Peter and Caspian, embark on a remarkable journey to find Aslan, rescue Narnia from Miraz’s tyrannical hold, and restore magic and glory to the land.
Directed once again by veteran director Andrew Adamson, screenplay by Andrew Adamson and Christopher Markus & Stephen McFeely and produced by Mark Johnson, Andrew Adamson and Philip Steuer, the film reunites the original cast and creative team behind the blockbuster first film in the series.