Tuesday, July 28, 2009,7/28/2009 01:56:00 AM
Public Enemies : วีรบุรุษปล้นสะท้านเมือง
เนื่องจากเราไม่มีเวลามาโรงหนังบ่อย ๆ บวกกับช่วงนี้มีหนังเข้าสองเรื่องเอง ตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเราก็อยากลดการดูหนังลง แต่เชื่อมั๊ย จนแล้วจนรอด เราลดการดูหนังโรงลง แต่เราดันไปซื้อ ดีวีดี มากองพะเนินเลย อย่างนี้เรียกว่า ลดการดูหนังรึเปล่าเนี่ย 555 ถามตัวเองก็เข้าข้างตัวเอง ว่า ทำถูกแล้วล่ะ 555
วันนี้ ไหนๆก็มาแล้ว ดูอีกเรื่องละกัน เรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ในลิสท์เลยนะ แต่พอดีเห็นชื่อ จอนนี่เดป เลยเอาซะหน่อย เพราะนนี้ เล่นเรื่องไหน เราดูทีไร อินทุกทีไป สามารถหลอกให้เราเชื่อว่า เป็นตัวละครตะวนั้นๆได้ทุกทีไป เรื่องนี้ เอาอีกแล้ว แสดงเป็น โจรปล้นธนาคาร มาแบบโรบินฮูดเลย ปล้นคนรวยไปช่วยคนจน แต่สุดท้ายก็ตายหยังเขียด
สิ่งที่เราชอบในหนังเรื่องนี้ คือกลิ่นอายบรรยากาศของความโบราณเพราะหนังเรื่องนี้ อิงเรื่องจริงในประวัติศาสตร์การปล้นของอเมริกา แล้วหนังก็ทำได้น่าดูมากๆ ทุกฉากดูโคตรสมจริง ทั้งอาวุธ รถ เสื้อผ้า หน้า ผมเหมือนของเก่าแทบทั้งสิ้น เราเองก็ไม่เคยเห็นหรอกนะ แต่ก็เดาเอาว่า คนสร้างคงพยายามเต็มที่5555 เรื่องนี้ จอนนี่ เดป ตีบทแตกกระจุยกระจายอีกแล้ว สุดยอด ขอบปรบมือให้สิบแปะเลย รองลงมาคือ คริสเตียนเบล แต่บทก็เด่นสู้ จอนนี่เดปไม่ได้อยู่ดี เรื่องนี้ คะแนนเลยเทไปที่ จอนนี่เดปคนเดียวเต็มๆ
สรุป รวมๆก็ชอบอีกอ่ะแหละ แต่ขอดูรอบเดียวนะ เพราะว่ามันซีเรียสเกินไป ไม่ใช่สไตล์ที่เราชอบ เราชอบแบบมีมุขตลกนิดๆอ่ะ เรื่องนี้ ยิงกันอุตลุตตั้งแต่ต้นจนจบ ดูแล้วหัวใจจะวายตาย เลือดสาดเต็มจอไปหมด ไม่ไหว เหนื่อย อีกฉาก คือ ตอนที่ ตำรวจซ้อม นางเอก เมีย จอนนี่เดป ในเรื่อง โอ้โฮ ดูแล้ว สงสาร จับจิตจับใจ โดนตบ โดนต่อย จนฉี่ราด สงสารมั่กๆ ฉากนี้เราให้นางเอกเต็มสิบ ดูแล้วเศร้าสุดชีวิต พูดแล้วน้ำตาพาลจะไหลอีกละ เฮ้อ เบื่อตัวเอง สรุปเลยดีกว่าเรื่องนี้ อะไรทุกอย่างดีหมดจริงๆนะ แต่เราให้ 7.2 เพราะมันไม่ใช่แนวที่เราชอบก็แค่นั้น
เรื่องย่อ :ไม่มีใครหยุดการปล้นของโจรสุดหล่อมาดดีอย่าง จอห์น ดิลลิงเจอร์ (จอห์นนี เดปป์) ได้ ไม่มีคุกไหนสามารถจับกุมเขาได้ เสน่ห์และความสามารถในการแหกคุกทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของทุกๆ คน นับจากแฟนสาวของเขา บิลลี เฟรเชตต์ (มาริยอง คอติยาร์) ไปจนถึงคนทั่วไปในสังคมอเมริกันที่ไม่ได้เห็นใจธนาคารทั้งหลายที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ พรรคพวกของ ดิลลิงเจอร์ ซึ่งรวมถึง เบบี เฟซ เนลสัน (สตีเวน เกรแฮม) กำลังสร้างเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นไปทั่วเมืองเจ้าหน้าที่เอฟบีไอมือใหม่ เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ (บิลลี ครูดัป) คิดจะใช้การจับกุมตัวจอมโจรที่โด่งดังรายนี้เป็นหนทางในการยกระดับหน่วยงานสืบสวนของเขาขึ้นเป็นหน่วยงานระดับชาติ เขาจึงออกหมายให้ ดิลลิงเจอร์ เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของรัฐ และส่งเจ้าหน้าที่รุ่นเก๋าอย่าง เมลวิน เพอร์วิส (คริสเตียน เบล) ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นพระเอก คลาร์ก เกเบิล ของเอฟบีไอ เข้าไปจัดการไล่ล่าตัว ดิลลิงเจอร์ เพื่อปิดคดีให้จงได้
Synopsis: No one could stop the charismatic bank robber, John Dillinger (Johnny Depp). No jail could hold him. His charm and audacious jailbreaks endeared him to almost everyone from his girlfriend Billie Frechette (Marion Cotillard) to an American public who had no sympathy for the banks that had plunged the country into the Depression. The adventures of Dillinger's gangster including the sociopathic Baby Face Nelson (Stephen Graham) thrilled many. Edgar Hoover (Billy Crudup) fledgling FBI, hit on the idea of exploiting the outlaw's capture as a way to elevate his Bureau of Investigation into the national police force that became the FBI. He made Dillinger America's first Public Enemy Number One. Hoover sent in Melvin Purvis (Christian Bale), the dashing Clark Gable of the FBI, to stop the unstoppable Dillinger.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,7/28/2009 01:50:00 AM
Dear Galileo : หนีตามกาลิเลโอ
ก่อนไปดุหนังเรื่องนี้ บังเอิญไปเจอเพื่อนรุ่นน้องคนนึงที่ดูมาแล้ว เลยถามไปตรงๆว่า สนุกมั๊ย น้องบอกว่า ก็ดีนะ เลยให้ช่วยเล่าเรื่องให้ฟังหน่อย ปรากฏว่า เล่าได้ละเอียดมากแทบไม่ต้องไปดูอีกเลย 555 แต่เราก็ต้องมาดูอยู่ดีแหละ เพราะเราชอบ เต้ย กับ ต่าย นางเอกของเรื่องนี้มากๆเลย
เราอุตส่าห์กิน เก๊ยวกุ้งซีพี สองซอง เพื่อจะได้เอาซองมาแลกตั๋วหนังฟรีที่เมเจอร์บางกะปิ แต่คิดไปคิดมาสะระตะแล้ว เกี๊ยวสองซองนี่ตก ร้อยสามสิบบาท แล้วมาแลกตั๋วหนังราคา ร้อยยี่สิบ ก็คุ้มอยู่นะ เท่ากับเราจ่ายค่าเกี๊ยวไปแค่ สิบบาทเอง เอาเหอะ คิดมากก็งกมาก 555 เอาเป็นว่าในที่สุดเราก็ได้ตั๋วหนังมาหนึ่งใบ พอเข้าโรงถึงได้รู้ว่า กระแสหนังเรื่องนี้ไม่เบาเลย คนดูค่อนข้างมากพอสมควร พอดีเราได้ยินเรื่องย่อมาแล้ว ก็เลยไม่เดาไม่ต้องเดอวอะไร ก็ดูไปเรื่อยๆ ดูไปก็ทำให้นึกถึงหนังของหม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย สมัยโน้น รักเอย อะไรเอย หนังสมัยโน้น ถ้าเห็นคนนี้กำกับเป็นอันเชื่อได้เลยว่า ได้มาดูวิวสวยๆของสถานที่ต่างๆ โดยมีดาราเป็นส่วนประกอบนิดๆหน่อยๆ ก็ดูเพลินๆดี เอาล่ะ มาถึงสมัยนี้ เรื่องนี้ ก้มาแนวเดียวกัน แต่เรื่องนี้ล่อไปหลายประเทศเลย เริ่มตั้งแต่ อังกฤษ ไป ฝรั่งเศส แล้วก็ไปต่อ อิตาลี แต่แตกต่างตรงที่ เรื่องนี้มีเนื้อหาเยอะแยะ สถานที่ที่ไปก็มีเหตุผลให้รู้ว่า ไปทำไม ก็สนุกดี เรื่องฉากต่างๆไม่ต้องพูดถึง หาหนังไทยน้อยเรื่องมากที่ลงทุนเดินทางไปถ่ายทำขนาดนี้ เรื่องดาราดีกว่า ดาราเรื่องนี้ เด่นๆ มีสามคน คือ ต่าย เต้ย กับ เรย์ ต่ายกับเต้ยนี่เราดูหนังของสองคนนี้บ่อย แต่ เรย์ เราไม่เคยดูเลย จำได้ว่าตอนที่เราเด็กๆ เคยได้ยินว่าเรย์เล่นหนังบู๊แอคชั่นเรื่องนึง แต่เราไม่ได้ดูเรื่องนั้น เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่เดาว่า เราคงไม่ค่อยชอบบุคลิกเวลาเรย์เป็นพิธีกรท่องเที่ยวมั๊ง เวลาพูดเหมือนคนเมาๆอ่ะ แต่พอดูเรื่องนี้ โอเค เลยนะ เล่นหนังสไตล์กวนๆดี พูดอะไรตรงๆตลกดี ดูแล้วชอบว่ะ สงสัยอีกหน่อยต้องตามไปดูหนังเรย์ดีกว่า จี้ดี หนังเรื่องนี้ เราว่า ดาราเล่นดีทุกตัวเลยนะ ดูแล้วเหมือนเพื่อนๆกันจริงๆ อินดี ตอนจบ ทำให้เราน้ำตาไหลได้ด้วยนะเนี่ยเหลือเชื่อจริงๆ 5555 เป็นหนังแนว มิตรภาพ ที่สอนให้เรารู้ว่า เพื่อนกันนี่ ขอให้รักกันจริงๆเหอะ ความรู้สึกที่ดีมันยืนยาวดีเหลือเกิน ดีกว่าแฟนซะอีก ฉากซึ้งก็อยู่ตรงฉากจบนี่แหละ ดูแล้วน้ำตาร่วงเลย ขอบอก
สรุป รวมๆ ก็โอเคนะ ชอบ ถ้าไม่ติดว่า หนังยาวไปนิด ก็คงจะดีกว่านี้ แต่พูดก็พูดเหอะ ถ้าสั้นกว่านี้ ก็ไม่คุ้มเงิน หมายถึงว่า คงอดดูวิวสวยๆไปหลายตอน ตกลงเอาไงแน่เนี่ย เอาใจตัวเองไม่ถูกเลยเหมือนกัน 5555 ฉากที่เราชอบก็มีเยอะแยะเลย โดยเฉพาะที่อิตาลี ชอบสุดๆ เพราะไม่เคยไป และชาตินี้ก็คงไม่ได้ไปแล้วมั๊ง เพราะตอนนี้ต้องบริหารเงินในกระเป๋าสุดชีวิต 5555 หอเอนปิซ่า ก็ชอบ มหาวิหารก็ชอบ คะแนนเรื่องฉาก วิว นี่เอาไปเลย สิบเต็ม เนื้อเรื่องก็ชอบ ดาราก็ชอบ ชอบไปหมดเลย เอ ติ อะไรดีนะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ลึกๆแล้วให้ซื้อดีวีดี คงไม่ซื้อ แต่ดูฟรีอีกทีในทีวี อย่างนี้เอา รวมๆแล้วเราให้ 8.0
เรื่องย่อ ปลายศตวรรษที่ 16 เมืองปิซา ประเทศอิตาลี กาลิเลโอ ประกาศผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของเขาว่า วัตถุ 2 ชิ้นที่มีรูปทรงเดียวกัน และประกอบขึ้นด้วยมวลสารเดียวกัน จะตกถึงพื้นพร้อมกัน แม้จะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน อีกทั้งยังประกาศความเชื่อว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล การปฏิบัติตัวขัดแย้งกับศาสนจักรเช่นนี้ ทำให้ กาลิเลโอ ถูกจับขัง สิ้นสูญอิสรภาพ และชีวิตก็ตกระกำลำบากนับจากนั้น ปี 2009 กรุงเทพฯ ประเทศไทย ห่างจากที่เกิดเหตุแรก 1/4 เส้นรอบวงโลก เด็กสาว 2 คนกำลังประสบปัญหาหนักหน่วงที่สุดในชีวิต เชอรี่ (ชุติมา ทีปะนาถ) นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ถูกตัดสิทธิ์สอบและต้องพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี ด้วยความผิดที่เจ้าตัวเห็นว่าเล็กน้อย นั่นคือปลอมลายเซ็นอาจารย์ในใบขออนุญาตใช้ห้องเขียนแบบ นุ่น (จรินทร์พร จุนเกียรติ) สาวร่าเริงแสนงอน เคยท้าเลิกกับแฟนหนุ่ม ตั้ม (ธนากร ชินกูล) มาแล้วหลายครั้ง ทว่า ตั้ม เป็นต้องงอนง้อขอคืนดีกับเธออยู่ร่ำไป แต่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง ตั้ม ตัดสินใจรับคำบอกเลิกของเธอแต่โดยดี ทั้ง นุ่น และ เชอรี่ ต่างรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลจากสถานที่เกิดปัญหา จึงจูงมือกันบินข้ามหลายเส้นรุ้งและอีกหลายเส้นแวง ปลดแอกตัวเองจากแรงดึงดูดของชีวิตทันที แผนของทั้งคู่นั้นแสนง่าย มุ่งมั่นทำงานบริกร เพื่อเก็บเงินไปท่องเที่ยวให้มากที่สุด เป้าหมายของพวกเธอคือ 3 เมืองใหญ่แห่งยุโรปอย่าง ลอนดอน ปารีส และเวนิส สถานที่สำคัญๆ ถูกหมุดหมายลงในใจของสองสาว ไม่ว่าจะเป็นสโตนเฮนจ์ ทาวเวอร์บริดจ์ หอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ โคลอสเซียม เรือกอนโดลา และ หอเอนปิซา ก่อนออกเดินทาง ทั้งคู่ทำสัญญาใจกันไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามทิ้งกัน อย่างไรก็ตาม ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องคาดไม่ถึงสารพัด บางครั้งคำสัญญาเป็นมั่นเหมาะก็ถูกสั่นคลอนเสียง่ายๆ เมื่อเจ้าของคำสัญญาอ่อนล้าจากภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน และบางทีมิตรภาพยาวนานก็แทบถึงกาลแตกหัก ด้วยเหตุผลที่เหมือนจะไม่เป็นเหตุผลว่าเบื่อขี้หน้ากัน นุ่น ยังคาดไม่ถึงอีกด้วยว่า เธอหนี ตั้ม คนหนึ่งไปไกลถึง 1/4 ของโลก เพียงเพื่อจะไปพบความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับอีก ตั้ม หนึ่ง (เร แมคโดนัลด์) ส่วน เชอรี่ ก็คาดไม่ถึงว่า ความตั้งใจที่จะออกเดินทางให้หลุดพ้นจากกฎโง่ๆ ของโลก กลับทำให้เธอเรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน ทุกคนต่างอยู่บนกฎพื้นฐานข้อเดียวกัน นั่นคือเราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เช่นเดียวกับที่โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล
Synopsis : Dear Galileo is created by the director who was behind the runaway success of “Seasons Change”. Its the story of two friends, Tai and Toey. One wants to runs away from school and the other is running away from love. They decide to travel and work as waitresses in Europe. Their goal is to see the birthplace of Galileo.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Thursday, July 16, 2009,7/16/2009 05:50:00 PM
Harry Potter and the Half-Blood Prince :แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ เจ้าชายเลือดผสม


จำได้ว่า เมื่อประมาณ สิบปีก่อน หรือ กว่านี้นิดหน่อย ตอนที่กระแส HP ดังมากๆ เราก็เป็นคนที่ตามกระสซะด้วย HP ออกมา สามเล่ม ตอนนั้น ร้านหนังสือดอกหญ้าดังมากๆ ต้องมีการเข้าคิวจองหนังสือกัน เราก้เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราซื้อยกชุดเลย กะว่าจะอ่านรวดเดียว พอวันหยุด เราก็เริ่มต้นอ่าน อ้อ ฉบับ ภาษาไทย นะ ไม่รู้วันนั้นอารมณืไม่ดีหรือยังไง อ่านไปได้ประมาณ สิบห้า หรือ ยี่สิบ หน้านี่แหละ มีความรู้สึกอย่างแรงเลยว่า นี่ไม่ใช่หนังสือที่เราชอบแน่ๆ เพราะอ่านไปได้แค่นี้ รู้สึกเอียน เลี่ยน อยากจะอ๊วก บอกไม่ถูก เราเข้าใจว่า สงสัย อารมณืไม่ดี เอาไว้อ่านวันหลังดีกว่า พอวันจันทร์ เพื่อนๆ ก็มาถามว่า เป็นยังไง หนุกมั๊ย เราตอบไปตรงๆว่า อ่านแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเดี๋ยวขอเวลาหน่อย จะหาวันหยุด อารมณ์ดีดี แล้วจะลองอ่านใหม่ พออีกสัปดาห์ต่อมา วันนั้นอารมณ์ดีมากๆๆๆๆ รีบไปหยิบ HP หน้าที่เราค้างไว้มาอ่านต่อ ปรากฏว่า อ่านได้ สิบ นาที ความรู้สึกเดิมก็เกิดขึ้นอีก คือ หงุดหงิด อย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ชอบหนังสืออย่างแรง รู้สึกว่า ไม่สนุกเลย ทั้งๆที่ ไอเดีย ในหนังสือ ดีมากมาย สรุป คือ เราคงไม่มีบุญอ่านหนังสือ เรื่องนี้ เหนังสือทั้งสามตอนก็ยังอยู่ที่ตู้หนังสือที่บ้านในสภาพที่สองเล่มหลัง ไม่เคยเปิดดูเลยแม้แต่หน้าเดียว และเราก็เลยคิดต่อว่า ถ้างั้นเราขอไปดูแบบเป็นภาพยนต์เอาก็แล้วกัน
หนังฉายมากี่ตอนกี่ตอนเราก็จำไม่ค่อยได้ แต่เรื่องนี้เหมือนมีอาถรรพ์กับเรา เพราะเราดูทุกครั้ง ต้องเผลองีบหลับทุกครั้งไป ( ไม่ได้หลับนานนะ แป๊บเดียว ซัก ห้านาทีได้มั๊ง ) ทั้งๆที่หนังก็มีฉากอลังการมากมาย รวมทั้งตอนล่าสุด เจ้าชายเลือดผสม ที่เราเพิ่งไปดูมา ตั้งแต่ภาคแรก เราว่าดาราน่ารักดี ทุกตัว แต่เนื้อเรื่องเราไม่ค่อยชอบ เราว่ามันเด็กไป แต่พอภาคสอง ดูแล้วก็ยังไม่ประทับใจ แต่หงุดหงิด ที่ดาราเด็กในเรื่อง โตขึ้นหลายตัว และหน้าตาไม่น่ารักเหมือนเคยแล้ว ยกเว้น นางเอก ที่สวยขึ้น ที่หน้าตาดูแล้วน่ากลุ้มใจที่สุดคือ รอน ที่ขี้เหร่ขึ้นทุกวัน รวมทั้งตัวพระเอกด้วย แต่พอตอนใหม่ พระเอกดูดีขึ้นมาก นางเอก เรียกได้ว่า สวยเลยแหละ ส่วน รอน ภาคนี้ เราว่า ขี้เหร่ที่สุดในโลก ดูไม่ได้เลย อาถรรพ์ที่เกิดขึ้นสำหรับเรา ก็ยังเกิดเหมือนเดิม คือ เราหลับอีกแล้ว แต่ภาคนี้ต้องยอมรับว่า เทคนิคทำได้ดีมาก นี่ถ้าได้ไปดู โรงสามมิติ คงดูดีกว่านี้ แต่เราเช็คที่นั่ง ผ่านอินเตอร์เน็ตแล้ว ปรากฏว่า รอบฉายเต็มตลอดหลายวันแรก เราเลยคิดว่า ไม่เอาดีกว่า แล้วก็โชคดีแล้วล่ะ เพราะฉากที่น่าดูที่สุด อยู่ตอนต้นเรื่องนั่นเอง ฉาก สะพานขาด ดู สมจริงๆสุดๆ ชอบจริงๆ นอกนั้นตลอดทั้งเรื่อง ก็ดูแบบไปเรื่อยๆ ไม่มีฉากไหนหวือหวาอีกเลย
สำหรับเรา เรื่องนี้ ก็เป็นนิทานยาวๆเรื่องหนึ่ง ที่นำเสนอเรื่องไอเดียแนวพ่อมดแม่มด ที่น่าทึ่ง ต้องขอชมจินตนาการของคนเขียน เราว่า หนังเลือกดารามาไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ โดยเฉพาะตัวรอน ตัวที่เหลือก็พอทน แต่ที่ชอบ น่าจะเป็น ตัว ดัลโบดอ ( ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า ) ที่ชอบอีกอย่า คือ เทคนิกต่างๆในเรื่องที่ทำได้ดี จริงๆ แต่ตอนนี้ที่เราไม่ชอบน่าจะเป็น โทนสีของเรื่องที่มืดตลอดเรื่อง อันนี้เป็นความไม่ชอบส่วนตัว คือ เราไม่ชอบหนังที่มืดๆ ชอบแบบสดใสหน่อย แต่ก็เข้าใจนะ ว่า เนื้อเรื่องมันแนวนี้ แต่ก็ไม่ชอบอยู่ดี รวมๆแล้ว เราให้ 6.2 นะ ก็ธรรมดา อ้อ หนังยาวด้วย เกือบสามชั่วโมง ทรมาณจัง
เรื่องย่อ : ลอร์ดโวลเดอมอร์ (เรล์ฟ ไฟน์ส) และเหล่าผู้เสพความตายกลับมาสร้างความโกลาหลทั้งในโลกของมักเกิ้ลและโลกแห่งเวทมนตร์อีกครั้ง ทำให้โรงเรียนฮอกวอตส์ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป แฮร์รี่ พอตเตอร์ (แดเนียล แรดคลิฟฟ์) สงสัยว่าอันตรายอาจแฝงตัวอยู่ในปราสาทแห่งนี้ ขณะที่ ดัมเบิลดอร์ (ไมเคิล แกมบอน) ต้องการให้ แฮร์รี่ เตรียมรับมือกับศึกครั้งสุดท้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดัมเบิลดอร์ ขอให้ แฮร์รี่ ช่วยหากุญแจที่จะปลดเปลื้องการป้องกันตัวของ ลอร์ดโวลเดอมอร์ และผู้ที่กำข้อมูลชิ้นสำคัญนี้ไว้มีเพียงอดีตอาจารย์วิชาปรุงยา ศาสตราจารย์ ฮอเรซ ซลักฮอร์น (จิม บรอดเบนต์) ดัมเบิลดอร์ จึงจัดแจงให้อดีตเพื่อนร่วมงานคนนี้กลับมารับตำแหน่งเดิม โดยแลกกับเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น ห้องทำงานที่ใหญ่ขึ้น และโอกาสที่จะได้สอน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้เลื่องชื่อ ขณะเดียวกัน บรรดานักเรียนถูกจู่โจมโดยฮอร์โมนวัยรุ่นที่พลุ่งพล่าน ความสัมพันธ์อันยาวนานของ แฮร์รี่ กับ จินนี่ (บอนนี ไรต์) เริ่มหยั่งรากลึก แม้จะมีแฟนหนุ่มของ จินนี่ อย่าง ดีน โทมัส (อัลฟี อีนอช) เป็นอุปสรรคอยู่ก็ตาม ส่วน ลาเวนเดอร์ บราวน์ (เจสซี เคฟ) ก็ทุ่มเทความเสน่หาให้กับ รอน (รูเพิร์ต กรินต์) เสียเต็มที่ ทิ้งให้ เฮอร์ไมโอนี่ (เอ็มมา วัตสัน) คุกรุ่นไปด้วยความหึงหวงเพียงลำพัง แล้วยังมีช็อกโกเลตใส่ยาเสน่ห์ที่ตกไปอยู่ในมือของ โรมิลด้า เวน (แอนนา แชฟเฟอร์) ซึ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ ขณะที่ความรักผลิบาน นักเรียนคนหนึ่งกลับแยกตัวออกห่าง โดยหวังจะสร้างชื่อให้กับตัวเอง แม้จะเป็นในด้านมืดก็ตาม ความรักลอยฟุ้งอยู่ทั่วไป แต่โศกนาฏกรรมกลับรอคอยอยู่เบื้องหน้า และฮอกวอตส์ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
Synopsis: Voldemort (Ralph Fiennes) is tightening his grip on both the Muggle and wizarding worlds and Hogwarts is no longer the safe haven it once was. Harry (Daniel Radcliffe) suspects that dangers may even lie within the castle, but Dumbledore (Michael Gambon) is more intent upon preparing him for the final battle that he knows is fast approaching.Together they work to find the key to unlock Voldemort's defenses and, to this end, Dumbledore recruits his old friend and colleague, the well-connected and unsuspecting bon vivant Professor Horace Slughorn (Jim Broadbent), whom he believes, holds crucial information. Meanwhile, the students are under attack from a very different adversary as teenage hormone rage across the ramparts. Harry finds himself more and more drawn to Ginny (Bonnie Wright), but so is Dean Thomas (Alfie Enoch). And Lavender Brown (Jessie Cave) has decided that Ron (Rupert Grint) is the one for her, only she hadn't counted on Romilda Vane's (Anna Shaffer) chocolates! And then there's Hermione (Emma Watson), simpering with jealously but determined not to show her feelings. As romance blossoms, one student remains aloof. He is determined to make his mark, albeit a dark one. Love is in the air, but tragedy lies ahead and Hogwarts may never be the same again.

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Friday, July 10, 2009,7/10/2009 04:47:00 PM
The Secret of Moonacre : อภินิหารมนตรามหัศจรรย์
เมื่อตอนที่ไปดูเรื่องวงษ์คำเหลา อาทิตย์ที่แล้ว ช่วงที่ดูหนังตัวอย่างอยู่ก็ปรากฏว่า มีหนังตัวอย่างเรื่องนี้ฉายให้ดูด้วย แต่ที่ตลกก็คือ ภาพไม่ค่อยชัดเลย แถม ซับไตเติ้ลก็เป็นภาษาเกาหลีด้วย แต่ที่เห็นแล้วน่าตื่นตาตื่นใจก็คือ มันมีฉากที่เป็นแฟนตาซีเยอะมากๆ มีทั้งม้า ยูนิคอน มีพระจันทร์ดวงเบ้อเริ่มชนโลกจนน้ำทะเลล้น ดูอลังการยิ่งนัก แต่ก็เกิดคำถามในใจว่า ปกติถ้าหนังมันฟอร์มดีขนาดนี้ มันน่าจะมีหนังตัวอย่างมาให้เห็นตั้งนานแล้วนา
วันนี้ เราได้มานั่งในโรง เมเจอร์บางกะปิ รอบแรกที่มีคนดูเรื่องนี้แค่ สามคน ไม่รู้เป็นเพราะ ไข้หวัด 2009 หรือเปล่า แต่ที่นี่ฉายโรงเดียวเองนะ เป็นพากษ์ไทยด้วย ความรู้สึกว่าหนังจะห่วยก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจแบบเงียบๆล่ะ เอาน่ะดูไปก่อน ดูไปดูมาก็พอใช้ได้นี่ ดาราเด็ก ดาโกต้า ที่เคยเล่น ในอภินิหารเข็มทิศทองคำ ตอนนี้ โตเป็ฯวัยรุ่นแล้ว หน้าตาสวยมากๆ เราว่าอีกหน่อยคงเป็นนางเอกได้สบายเลย เรื่องนี้เธอได้มรดกเป็นหนังสือเล่มนึงที่เล่าประวัติเกี่ยวกับความเป็นมาของครอบครัว พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นนิทานดีดีนี่เอง เราจะไม่พูดถึงเนื้อเรื่อง แต่อยากพูดเรื่องเกี่ยวกับฉากแฟนตาซี ในเรื่อง ที่เราชอบสุดๆ ก็คือ ฉากใกล้จบที่พระจันทร์มาแตะโลก แล้วน้ำทะเลล้นเป็นคลื่นซึนามิ โดยที่คลื่นที่วิ่งเข้าหาฝั่งมีม้ายูนิคอนอยู่ในคลื่นด้วย ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ สมจริงมั่กๆ ฉากแฟนตาซีอื่นๆก็งั้นๆ อ้อ อยากพูดถึงสิงโตดำด้วย เราว่า น่าจะไปยืมสิงโตจากนานียมาแสดงนะ 5555 เพราะสิงโตในเรื่องนี้ ขนหรอมแหรม จนดูไม่สง่าเลย เหมือนเป็นขี้เรื้อนอ่ะ ดูแล้วตลก น่าสงสาร ใครที่อยากจะมาดูฉากอฟนตาซีเยอะๆ แบบ แฮรี่พอตเตอร์ อย่าหวัง เพราะฉากที่น่าดูสุด ก้มีฉากเดียวอย่างที่เล่าไปแล้ว ที่เหลือก็งั้นๆ มิน่า ถึงไม่มีคนดู
รวมความว่า ภาพรวมดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมาะกับเด็กๆมากกว่า เพราะเอานิทานมาทำทั้งดุ้น แต่อย่างน้อย ก็มีคติเตือนใจ สอนเรื่องความโลภว่าอย่าโลภมาก แต่ขอบอกว่ ฉากพระจันทร์นั้น ตราตรึงใจจริงๆนะ สวยมากจริงๆ แต่มันน้อยไปหน่อย อยากดูฉากเว่อๆแบบนี้เยอะๆ สรุปแล้ว เนื้อเรืองธรรมด๊า ธรรมดา ฉากแฟนตาซีอลังการจริงแต่น้อยไปหน่อย เราให้ 6.8 ก็ไม่เลวเท่าไหร่
เรื่องย่อ : มาเรีย เมอร์รีเวเธอร์ (ดาโกตา บลู ริชาร์ดส์) คือเด็กสาววัย 13 ปีที่เพิ่งเสียพ่อของเธอไป มรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอมีเพียงหนังสือเล่มเดียว ซึ่งทำให้เธอต้องจำใจย้ายออกจากที่พักหรูหราในลอนดอน ไปอาศัยที่มูนเอเคอร์ มาเนอร์ ซึ่งอยู่ในชานเมืองอันลึกลับ ร่วมกับ เซอร์ เบนจามิน (โยอัน กริฟฟิดด์) ผู้ชายท่าทางแปลกๆ ที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าคือลุงแท้ๆจากนั้นไม่นาน มาเรีย ค้นพบว่าหนังสือที่เธอได้รับจากพ่อ เล่าถึงประวัติความเป็นมาของความขัดแย้งระหว่าง ตระกูล เมอร์รีเวเธอร์ และตระกูล เดอ นัวร์ อันชั่วร้าย ในการช่วงชิงกันครอบครองไข่มุกเวทมนตร์ และเมื่อเธอได้อาศัยอยู่ใน มูนเอเคอร์ วัลเลย์ สถานที่ซึ่งได้รับแสงจันทร์มากที่สุดบนโลก มาเรีย ก็พบว่าแท้จริงแล้วเธอคือเจ้าหญิงแห่งจันทราองค์สุดท้าย มาเรีย ต้องพยายามรักษาครอบครัวเอาไว้ด้วยการหาไข่มุกเวทมนตร์ให้พบ ก่อนที่พระจันทร์จะเต็มดวงครั้งที่ 5,000 ซึ่งจะทำให้ มูนเอเคอร์ วัลเลย์ ถูกดูดกลืนหายไปในท้องทะเลตลอดกาล
Synopsis : When 13 year old Maria Merryweather's (Dakota Blue Richards) father dies, leaving her orphaned and homeless, she is forced to leave her luxurious London life to go and live with Sir Benjamin (Ioan Gruffudd), an eccentric uncle she didn't know she had, at the mysterious Moonacre Manor.Soon Maria finds herself in a crumbling moonlit world torn apart by the hatred of an ancient feud with the dark and sinister De Noir family. Maria discovers that she is the last Moon Princess and, guided by an unlikely mix of allies, she must overcome her family's pride in order to unearth the secrets of the past before the 5000th moon rises and Moonacre disappears into the sea forever.

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Sunday, July 5, 2009,7/05/2009 04:19:00 PM
Nymph : นางไม้
ช่วงนี้มีโปรโมชั่นเด็ดๆ สำหรับคนเติมน้ำมันรถอีกแล้ว คราวนี้ เป็นสามค่ายเลย คือ ธนาคาร กสิกรไทย ปตท แล้วก็ เอสเอฟ โดยมีกติกาว่า ให้เอาสลิปบัตรเครดิตที่ไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท มูลค่า 600 บาท สองใบไปแลกตั๋วได้ฟรี ที่เอสเอฟ เราว่า เวิร์คนะ เพราะเราเองก็เติมน้ำมันอยู่แล้ว ( ถึงจะเติมเดือนละนิดเดียวก็เหอะ 5555 ) เพราะฉะนั้น โปรนี้เลยโดนใจมากกกก และแล้วเก็เลือกมาใช้สิทธินี้ที่ สาขาเดอะมอลบางกะปิ เราเลือกดู เรื่องนางไม้ เพราะเราคิดว่า น่าจะคุ้มค่าตั๋ว ถึงแม้ว่า จะเป็นตั๋วฟรีก็เหอะ
หนังเรื่องนี้ สมแล้วที่เป็นหนังของ เป็นเอก ดูกี่เรื่องกี่เรื่อง ก็สไตล์นี้ทุกเรื่อง คือ เงียบ คนกำกับ คงอยากให้อารมณืหนังพาคนดูไปเรื่อยๆ แทนที่จะใช้ดนตรีช่วย ก็ดีนะ แต่ดูแล้วเครียด ตัวเราเอง ค่อนข้างโอเคกับหนังสไตล์นี้แล้ว แต่อดเป็นห่วงคนดู คนอื่นไม่ได้ รอบที่เราดู คนก็ไม่น้อยนะ คงมาดูเพราะแรงโปรโมทมากกว่าแหละ เราว่า
หนังเดินเรื่องไปเรื่อยๆ ฉากส่วนใหญ่ไม่ต้องลงทุนเลย เพราะมีถ่ายสองที่คือ ที่บ้าน กับป่า เรื่องนี้ คงไม่เปลือง สตูดิโอเลย เปลืองแต่ฟิล์มอย่างเดียว ค่าตัวดาราก็คงไม่เท่าไหร่มั๊ง จ้างดาราโนเนมทุกคนเลย รวมๆแล้วเราว่า ลงทุนไม่น่าเกิน ล้านนึง เนื้อเรื่องของหนังไม่มีอะไรเลยจริงๆ เป็นเรื่องของผัวเมียที่เบื่อกัน เมียมีกิ๊ก วันนึง ผัวพาเมียไปเที่ยวป่า แล้วก็เลย เตลิดเปิดเปิงไปกับ นางไม้ จนกู่ไม่กลับ จบ เนี่ยมีแค่นี้จริงๆ แล้วคนสร้างก็ถ่ายไปสิ วิว ในป่า ซึ่งไม่ได้มีความสวยงามเลย เป็นป่ารกๆ บ้านๆ แบบที่เราไปเดินมานั่นแหละ ขากลับ ตอนเดินออกจากโรง เราได้ยินคนดู บ่นกันเต็มเลย ว่าดูไม่รู้เรื่อง เรานึกในใจ พวกมีง นึกเหมือนกู ตอนดูหนังของเป็นเอก ใหม่ๆเลย ตอนนี้ เราชินแล้ว 5555
รวมๆ เราว่า หนังนำเสนอมุมมองใหม่ในแนวของเนื้อเรื่องที่เป็นแบบไทยๆ แต่มีความเป็นสากลในแง่ของความเชื่อ เพราะเห็นทุกชาติทุกภาษาก็มีนางไม้ด้วยกันทั้งนั้น แหละ แต่เรื่องนี้ นางไม้ไทยไม่ใส่เสื้อผ้านะ ประหยัดดี เนื้อเรื่องก็งั้นๆ ไม่สลับซับซ้อนเกินที่เราจะเข้าใจได้ ที่อยากบอกคือ เนื้อเรื่องมันหลวมไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรน่าติดตาม โทนหนังโคตรเงียบ ดูแล้วอึดอัด เราให้ 6 ก็พอ
เรื่องย่อ : เมย์ (วนิดา เติมธนาภรณ์) เป็นสาวทันสมัยวัยทำงานในสังคมเมือง เธอมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งธุรกิจส่วนตัวที่กำลังไปได้สวย และความรักที่ได้รับจาก นพ (นพชัย ชัยนาม) ช่างภาพฝีมือดีและสามีของเธอที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานาน แต่ด้วยวิถีชีวิตแบบคนเมืองที่มักใช้ชีวิตหมดไปวันๆ โดยไม่มีเวลาคิดอะไร เมย์ ปล่อยให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ลับๆ กับ กรณ์ (ชมะนันท์ วรรณวินเวศร์) ผู้ชายที่มีภรรยาอยู่แล้วคนหนึ่ง วันหนึ่ง นพ ต้องเดินทางไปทำงานถ่ายภาพธรรมชาติในป่า เขาจึงพา เมย์ ไปด้วยเพราะต้องการหาเวลาที่จะอยู่กับเธอให้มากขึ้น แต่ เมย์ ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบคนทำงานในเมืองเช่นเดิม เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่จากออฟฟิศมาเป็นเต็นท์ในป่าท่ามกลางธรรมชาติเท่านั้น ขณะที่ นพ เริ่มออกเดินเข้าป่าอันเงียบสงบเพียงลำพัง เพื่อเก็บภาพธรรมชาติที่เขาพบเจอ เขารู้สึกเหมือนตนเองสามารถสื่อสารและสัมผัสธรรมชาติที่งดงามกลางป่าเปลี่ยว และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขาได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย จากนั้นเขาก็หายตัวเข้าไปในป่าอย่างลึกลับ เมย์ พยายามออกค้นหาเท่าไรก็ไม่พบสามีของเธอ เมย์ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทำร้ายสามี ท่ามกลางความโดดเดี่ยวที่ เมย์ กำลังเผชิญอยู่ ยิ่งเธอรู้สึกต้องการ นพ มากขนาดไหน นพ ก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้นไปทุกที และขณะที่เธอกำลังเศร้าใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จู่ๆ สามีของเธอก็กลับมา แต่การกลับมาของ นพ ในครั้งนี้ เขาไม่เหมือนเดิม
Synopsis : May, an urban working girl seems to have everything in her life. She's lucky in life and love, especially the love that Nop, a talented photographer gives to her. But, May's urbanized lifestyle takes her into the world of seduction as she secretly starts a liaison with Korn, a guy who's already got a wife. Their passion for one another never ends.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,7/05/2009 04:16:00 PM
Ice Age: Dawn of the Dinosaurs – ไอซ์ เอจ เจาะยุคน้ำแข็งมหัศจรรย์ 3: จ๊ะเอ๋ไดโนเสาร์
ช่วงนี้ พอมีหนังดังๆที่บอกว่าจะฉายแนวสามมิติ หรือ ระบบ ดิจิตอล เรารู้สึกเฉยๆนะ ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อนอีกละ ก็หมายความว่า ถ้ามันตรงกับช่วงที่เราว่างเราก็ดู แคถ้าไม่ตรงกับเวลาที่สะดวกก็ไม่เอาดีกว่า ไม่เหมือนแต่เดิมที่จะต้องเลือกโรงที่เป็นดิจิตอลก่อน คงเซ็งแล้วมั๊ง นี่ขนาดโรงเมเจอร์นี่โฆษณาว่า เป็นโรงเดียวในบางกะปิ ที่ฉายระบบนี้ เราก็ฟัง เออ แล้วไง นี่แสดงว่า เฉยๆจริงๆนะเนี่ย
เห็นโฆษณาที่ฉายก่อนเรื่องนี้จะเข้าโรงก็ยอมรับว่าอยากดู เพราะคิดถึง กระรอกในเรื่อง 5555 พูดแล้วก็ขำ น่ารักดี แล้วี่เมื่อไหร่มันจะได้กินลูกนัทนั่นซะทีก็ไม่รู้ แต่ภาคนี้ ที่ฉายในตัวอย่างเห็นมีการเจอกับแฟนสาวด้วยนี่ ดูแล้วน่าสนุก แต่เนื้อเรื่อง ก็ยังคงเป็นไปแนวเดิมคือ ตามหาลูกนัทนั้นเอง ดูเหมือนเนื้อเรื่องของ Ice age จะแบ่งเป็นสองเรื่องอยู่ในเรื่องเดียวกันมาตลอด คือ กลุ่มสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เจอเหตุการณ์อะไรซักอย่าง กับ เจ้ากระรอกตามหาลูกนัท ซ้อนกันอยู่ในเรื่องเดียวกัน ก็ดีนะ ดูแล้วก็เพลินดี เหมือนเบรกอารมณ์ตัวเองเป็นพักๆ เพราะเราว่า เนื้อเรื่องจริงๆของมันนี่เครียดนะ สู้ หนี ไดโนเสาร์ แน่นอนแหละ คงไม่มีการตายหรอก เพราะว่ามันเป็นการ์ตูน ยังไม่เคยเห็นการ์ตูนฝรั่งแนวนี้ มีการตายซักที 555 ถ้ามีคงแปลกพิลึก เด็กดูแล้วคงไม่ค่อยดีเทาไหร่มั๊ง
เรื่องนี้ถ้าไม่มีตัวละครใหม่ๆแบบไดโนเสาร์ เราคงเบื่อ เพราะมุขต่างๆเราก็เรื่มไม่ค่อยขำแล้ว นี่คงเป็นจุดอ่อนของหนังแนวหลายๆภาค เพราะตัวละครเรื่มซ้ำ เรารู้นิสัย บุคลิกของตัวละคร รู้ว่ามันจะพูดประมาณไหนแล้ว เลยไม่ค่อยมีอะไรให้ลุ้นแล้ว พูดไปพูดมาเหมือนเพ้อเจ้อ เข้าเรื่องดีกว่า เนื้อเรื่องภาคนี้ก็เป็นการหนีไดโนเสาร์อย่างที่บอก แต่ว่าแฮปปี้เอนดิ้งตามคอนเซปท์หนังแนวครอบครัว สอดแทรกบทพูดขำๆบ้างตามสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้
ก็ไม่มีอะไรโดเด่นนัก ดีนะเนี่ยไม่ได้ไปดูดิจิตอลสามมิติ ไม่งั้นเสียดายตังค์แย่เลย 555 เพราะราคาแพงกว่าประมาณ ร้อยนึง ก็เยอะอยู่นา สำหรับสมัยนี้ คนดูก็พอแระมาณ ไม่มากไม่น้อย แต่เราว่าหนังเรื่องน้ในไทยคงไม่ได้เงินเท่าไหร่หรอก เท่าที่ดูจกกระแสคนดูนะ เอาเป็นว่าดูไปเพลินๆ แต่เด็กคงชอบแหละ ส่วนตัวเราให้ 7 นะ ไม่มากไปกว่านี้
เรื่องย่อ : ชีวิตของพลพรรคยุคน้ำแข็งกำลังจะเปลี่ยนไป เริ่มจากเจ้ากระรอก สแคร็ต (คริส เวดจ์) ซึ่งยังคงไล่ล่าเม็ดถั่วที่ยังคงตามหลอกหลอนชนิดไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย ในขณะเดียวกันก็อาจจะตามล่าหารักแท้ไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะเขาได้พบกับกระรอกเขี้ยวดาบสาวชื่อ สแคร็ตตี (คาเรน ดิชเชอร์) คู่รักแมมมอธ แมนนี (เรย์ โรมาโน) กับ เอลลี (ควีน ลาติฟาห์) กำลังเฝ้าตั้งตารอคอยการถือกำเนิดของลูกแมมมอธตัวน้อยของทั้งคู่ ด้วยความตื่นเต้นกระวนกระวาย ส่วนเสือเขี้ยวดาบ ดิเอโก (เดนิส เลียรี) เริ่มหวั่นใจว่าจะเสียชาติเกิด เพราะนับวันที่ใช้ชีวิตอยู่กับผองเพื่อน ก็ยิ่งทำให้เขาอ่อนโยนขึ้นทุกที ตัวสลอธสันหลังยาว ซิด (จอห์น เลกวิซาโม) ก็อยู่ดีไม่ว่าดี พยายามจะสร้างครอบครัวขึ้นมาบ้าง ด้วยการไปอุ้มไข่ไดโนเสาร์มาฟูมฟัก จนหลงไปอยู่ในโลกใต้ดินสุดลึกลับ เพื่อนๆ จึงต้องยกก๊วนกันเข้ามาปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิต ซิด ผู้อับโชค ในดินแดนที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ นอกจากไดโนเสาร์แล้ว ดินแดนแห่งนี้ยังมีพืชกินคน ตัววีเซลตาเดียวที่ชื่อ บัก (ไซมอน เพกก์) และเขตอันตรายที่ได้ยินแค่ชื่อก็ขนพองสยองเกล้าอย่างหุบเหวแห่งความตาย และจานแห่งความปวดร้าว ขนาดแมมมอธ แมนนี ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่เบิ้มแห่งยุคน้ำแข็ง ยังรู้สึกกระจิ๋วหลิวในโลกมหัศจรรย์มหึมาแห่งนี้
Synopsis : Life begins to change for Manny (Ray Romano) and his friends: Scrat (Chris Wedge) is still on the hunt to hold onto his beloved acorn, while finding a possible romance in a female sabre-toothed squirrel named Scratte (Karen Disher). Manny and Ellie (Queen Latifah), having since become an item, are expecting a baby, which leaves Manny anxious to ensure that everything is perfect for when his baby arrives. Diego (Denis Leary) is fed up with being treated like a house-cat and ponders the notion that he is becoming too laid-back. Sid (John Leguizamo) begins to wish for a family of his own, and so steals some dinosaur eggs which leads to Sid ending up in a strange underground world where his herd must rescue him, while dodging dinosaurs and facing danger left and right, and meeting up with a one-eyed weasel known as Buck (Simon Pegg) who hunts dinosaurs intently.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,7/05/2009 04:14:00 PM
Wongkamlao : วงษ์คำเหลา
อย่างที่เคยบอกแหละว่า เป็นคนที่ไม่ชอบหม่ำเลย ไม่ชอบในแง่ของบุคลิกภาพ แต่ไม่ใช่ว่าเกลียดอะไรเค้าหรอกนะ เพียงแต่รู้สึกว่า ตลกคนนี้ ทำไมพูดจาไม่สุภาพเลย สังเกตจากในทีวี มักจะถูกดูดเสียงเป็นประจำ ทั้งในจอและ บทสัมภาษณ์ แต่มันก็คนละเรื่องกับผลงาน เรื่องผลงานเราก็ต้องถือว่า หม่ำเป็นคนที่รู้จุดคนดู ว่าจะต้องทำอะไร ยังไง คนถึงหัวเราะ และนั่นแหละ คือสิ่งที่เรานับถือตลกคนนี้ แม้ว่าเราจะมีอคติกับหม่ำนิดๆก็ตาม
เราแทบไม่เคยดูหนังที่หม่ำสร้างเลยนะ เพราะอคติที่ว่า แต่เมื่อเราโตขึ้น ( แก่ขึ้น นั่นแหละ 555 ) เราก็เริ่มแยกระหว่างตความเป็นส่วนตัว กับงาน เราเข้าใจเลยว่า ทำไมคนถึงชอบหนังของหม่ำ ก็หนังดูง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่เครียด ดูเป็นชาวบ้านมากๆ สังเกตให้ดี จะเห็นว่า หนังของหม่ำ มักเกาะกระแสหนังดัง อย่างที่ผ่านมา ก็ออกแนวบู๊ เกาะกระแสเจมส์บอน ส่วนเรื่องนี้ ดูไปได้ห้านาทีก็สรุปได้เลยว่า ล้อเลียนเรื่องบ้านทรายทอง ตัวละครก็อปปี้มาเกือบหมด ทั้งบ้านเลยก็ว่าได้ แต่เนื่องจากเราชอบเรื่อ
บ้านทรายทองอยู่แล้ว เวลามาดูหนังล้อเลยขำเข้าไปใหญ่ รวมทั้งคนดูในโรงด้วยที่ช่วยกันหัวเราะกันลั่นโรง แต่ถ้าให้เปรียบเทียบกับเรื่อง แหยมยโสธร นะ เราว่า เราชอบเรื่องแหยมมากกว่า เพลงเพราะ ดาราเล่นตลกดี เรื่องนี้ คนที่เป็นคนใช้กระเทยนั่น เราว่า เล่นแรงไปนิดนึง เลยดูกักขฬะ มากกว่าจะดูตลกอ่ะ ส่วนหม่ำเรื่องนี้ หล่อเป็นพิเศษเพราะใส่สูทตลอดเรื่อง จักจั่น เราเพิ่งเห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก สวยมากๆๆๆๆ น่าจะมีคนจ้างมาแสดงหนังใหญ่อีก เพราะเล่นดีเหมือนกัน ดูแล้วหลงรักเลยในบัดดล
รวมๆนะ ค่อนข้างชอบ ตัวละครที่ชอบมากที่สุด เรียงตามความชอบ สี่อันดับแรก คือ ตุ๊กกี้ จักจั่น อาภาภรณ์ นครสวรรค์แล้วก็ ฉันทนา กิตติยาพันธ์ ที่เหลือก็งั้นๆ สี่คนนี้ให้คะแนนเต็มเลย เล่นดี ขำมากๆ หม่ำมาเป็นอันดับห้า เพราะบทนี้ ไม่ค่อยมีอะไรให้ขำ เพราะต้องทำหน้านิ่งหล่อ ตลอดเวลา เลยดู ธรรมดา ผิดกับ สี่คนที่ว่า บทพูดกับแอคติ้ง ตลกมากๆ รวมๆ เรื่องนี้เราให้ 7.3 นะ ก็พอดูได้ พอทนอ่ะ
เรื่องย่อ : ท่านชายเพชราวุธ (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) คือหนุ่มนักเรียนนอกผู้เงียบขรึม มีหน้าที่ดูแลธุรกิจมูลค่าพันล้าน วงษ์คำเหลาจิวเวอร์รี และอภิมหาคฤหาสน์อลังการประจำตระกูล นอกจากนี้ยังเป็นเสาหลักของสมาชิกตระกูล วงษ์คำเหลา ที่ว่ากันว่าแต่ละคนล้วนเอ่อล้นไปด้วยเสน่ห์เจิดจรัส โดดเด่นท้าทายทุกสายตาในสังคมชั้นสูงอย่างไม่เป็นสองรองตระกูลมหาเศรษฐีรายใดในประเทศ ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในตระกูลเมื่อ พิรมน (อคัมย์สิริ สุวรรณศุข) ครูสอนภาษาอังกฤษประจำตัวคนใหม่ของ จูเนียร์ (เฉลิมศักดิ์ แย้มขะมัง) น้องชายคนเล็กของตระกูล ปรากฏตัวขึ้น หญิงสาวผู้งามหมดจดทั้งรูปร่างหน้าตาและก้านสมองคนนี้ ทำให้ ท่านชายเพชราวุธ ผู้เก็บงำความรู้สึกเกิดอาการตกหลุมรักเข้าอย่างจัง เช่นเดียวกับ ท่านเป้า (อนุวัตน์ ทาระพันธ์) คู่หมั้นของ หญิงพราวแพรว (อาภาพร นครสวรรค์) ที่เกิดอาการตาสว่าง อยากเปลี่ยนคู่หมั้นแทบทันที ขากรี๊ดปรี๊ดแตกอย่าง หญิงพราวแพรว ยอมไม่ได้ หันไปร่วมมือกับ หญิงนุช (สุดารัตน์ บุตรพรหม) เจ้าแม่แฟชั่นที่เป็นน้องสาวของ ท่านเป้า ซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะแห้วรับประทานเช่นกัน เพราะจู่ๆ ก็จะต้องสูญเสีย ท่านชายเพชร ที่หมายมั่นมานานนมไป ทั้งสองร่วมกันงัดแงะกลเม็ดสุดแพรวพราวเพื่อกันท่าและขวางลำอย่างสุดชีวิต มิให้ยอดชายในดวงใจกับ พิรมน ครอบครองหัวใจของกันและกันได้สำเร็จ นอกจากนี้ ท่านชายเพชร ยังต้องแก้ไขเรื่องราววุ่นๆ ของสมาชิกตระกูล วงษ์คำเหลา คนอื่นๆ อย่างคุณหญิงแม่พราวพิลาศ (ฉันทนา กิติยพันธ์) ผู้รักความเป็นผู้ดีทุกอณูแห่งลมหายใจ หญิงใหญ่พลอยวรินทร์ (เทียมใจ วงษ์คำเหลา) สาวโสดทึนทึกสุดเฮี้ยบ ท่านปู่พรจรัส (สมชาย ศักดิกุล) ผู้ชอบเก็บตัวอย่างลึกลับ แล้วยังมีสาวใช้สุดแสบอย่าง ผักบุ้ง (สุพัฒน์ ศรีนวล) และ นายเขื่อง (เดฟ ดวงดี) ผู้เป็นทั้ง โชเฟอร์ (คนขับรถ) และ การ์เดนเนอร์ (คนสวน) ของตระกูล
Synopsis : Popular comedian turns to director, Mum Jokmok, has succeeded in his self-directed movies through the past few years. This time he's back with a romantic comedy called Wongkamlao, that he both self-directs and stars. Wongkamlao tells the story of Petcharawut (Mum Jokmok), the heir of Wongkamlao Family, an extremely wealthy family that runs jewelry business, who falls in love with Piramon (Akamsiri Suwanasuk), who is an English tutor for his own younger brother. But the love affair between the rich and the poor always comes with conditions and obstacles. Petcharawut and Piramon inevitably confront the turmoils caused by Wongkamlao's unusual family members, as well as struggle in the world of jealousy, secret, and fun of Wongkamlao.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,7/05/2009 04:09:00 PM
Transformers: Revenge of the Fallen : ทรานส์ฟอร์เมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น
ไปดูมานานแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนา แต่ไม่มีเวลาเขียนซักที ไปดูฟรีอีกตามเคยที่ พารากอน งานนี้ เป็นตั๋วฟรี จาก SCB-Life บริษัท ประกันชีวิต คนล้นหลามมากๆ นี่แหละน้า ตั๋วฟรี ก็อย่างนี้แหละ ดึงคนได้เสมอ 5555
ติดใจ ความอลังการมาตั้งแต่ภาคแรก เนื้อเรื่อง ก็มันส์ดี แต่เราว่าภาคนี้ ร็สึกว่าจะยาวกว่า ภาคแรกนะ เพราะรู้สึกว่า จะดูประมาณ สองชั่วโมงครึ่ง แต่ไม่รู้สึกเบิ่อเลย เพราะเนื้อเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา ภาพก็ใหญ่โตมากๆ ( เพราะเราได้ที่นั่งใกล้จอ 5555 ) นอนไม่หลับเลย ที่น่าทึ่งก็คือ หุ่นยนต์ต่างๆในเรื่องที่แปลงสภาพมาจาก รถมั่ง เครื่องยนต์ต่างๆมั่ง ดูแล้วก็นึกชม คนคิด ช่างคิดเหลือเกิน คิดได้ไง แต่ที่น่าชมที่สุดคือ คนทำ CG เพราะทำได้สมจริงสมจัง ดูแล้วคุ้มค่าเงินมั่กๆ ต่อให้เสียเงินดูก็คุ้ม หนังเรื่องนี้ นอกจากจะโชว์จินตนาการแล้ว ก็โชว์ CG แค่นั้นแหละ เนื้อเรื่องไม่ต้องพูดถึง เว่อสุดๆ แต่ก็สนุกนะ ดูให้มันจบๆไปอย่าไปคิดมาก 5555
คนที่ชอบดูผู้หญิงสวยๆ แนะนำให้ไปดูเรื่องนี้โดยด่วน เพราะนางเอก สวยเซ็กซี่ จริงๆ โผล่มาฉากแรก ก็ใส่กางเกงขาสั้น ยืนแอ่นโชว์บั้นท้าย จนมองเห็นอะไรๆไปถึงไหนๆ ไม่อยากพูด เดี๋ยวหาว่าลามก 555
สรุปแล้ว คุ้มค่าเงินหลายๆ ฉากต่างๆอลังการงานสร้าง ฝีมือ การทำ CG ต้องยกนิ้วหัวแม่โป้งให้สองอัน แถมที่ขา อีกสองอันเป็นสี่อันเลย สุดยอดจริงๆ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ หนังถ่ายทำที่อียิปต์ กับ จอแดน เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น เรื่องความโอ่อ่า ของสิ่งก่อสร้างไม่ต้องพูดถึง ใหญ่โต มากๆ เหมือนไปเที่ยวเอง พูดง่ายๆ ดูแล้วคุ้มค่าเงิน เนื้อเรื่อง เว่อไปหน่อยแต่ก็ดูสนุก พระเอกนางเอก โอเค รวมๆแล้ว เราให้ 8 นะ
เรื่องย่อ : 2 ปีผ่านไปนับตั้งแต่หนุ่มน้อย แซม วิตวิกกี (ไชอา ลาบัฟ) ช่วยจักรวาลให้รอดพ้นจากสงครามระหว่างหุ่นยนต์จากต่างดาว แม้จะสร้างวีรกรรมสุดขั้วมาแล้ว แต่ แซม ยังคงเป็นวัยรุ่นธรรมดาที่มีปัญหาว้าวุ่นใจไม่เว้นวัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อมหาวิทยาลัย การทิ้ง มิคาเอลา (เมแกน ฟ็อกซ์) แฟนสาวของเขาเอาไว้ที่บ้านเกิด และยังต้องห่างจากพ่อ (เควิน ดันน์) และแม่ (จูลี ไวต์) เป็นครั้งแรกอีกด้วย แซม พยายามอธิบายให้ บัมเบิลบี หุ่นยนต์คุ้มครองของเขาเข้าใจถึงเหตุผลที่เขาต้องจากบ้านไป และพยายามใช้ชีวิตนักศึกษาธรรมดาๆ ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนจอมจุ้นจ้านอย่าง ลีโอ (รามอน ร็อดริเกวซ) และ อลิซ (อิซาเบล ลูคัส) แต่แล้วชีวิตอันสงบสุขของ แซม ก็ถูกรบกวนอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นภาพแปลกๆ แวบขึ้นมาในหัวราวสายฟ้าแลบ แซม กลัวว่าตนอาจกำลังวิกลจริตเหมือนคุณปู่ เขาจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับขณะเดียวกันนั้น สงครามระหว่าง ออโตบอตส์ กับ ดีเซปติคอนส์ ยังดำเนินไปอย่างลับๆ เซกเตอร์ 7 ถูกยุบไป และเจ้าหน้าที่ผู้ภักดี ซิมมอนส์ (จอห์น เทอร์ทูโร) ถูกไล่ออก องค์กร เนสต์ ถูกตั้งขึ้นมาแทนที่ มีนายทหารผู้มีประสบการณ์ภาคสนามอย่าง เลนนอกซ์ (จอช ดูฮาเมล) และ เอปป์ส (ไทรีส กิบสัน) ทำงานเคียงข้างไปกับกลุ่ม ออโตบ็อตส์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ ดีเซ็ปติคอนส์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ธีโอดอร์ กัลโลเวย์ (จอห์น เบนจามิน ฮิกกี) เล็งเห็นถึงอันตรายของ เนสต์ ที่คิดจะยึดครองอำนาจทั้งหมดของกระทรวงกลาโหม พร้อมกับกำจัดหน่วยงานรัฐบาลที่เห็นว่าไม่มีความสำคัญทิ้งไป กัลโลเวย์ จึงพยายามปิด เนสต์ ทิ้ง โดยเขาเชื่อว่าสงครามระหว่างกลุ่มหุ่นยนต์ต่างดาว 2 กลุ่มนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมนุษย์ไม่สนใจความขัดแย้งดังกล่าวอีกต่อไป ในที่สุด แซม ก็ไม่อาจทนเมินเฉยต่อสิ่งที่แทรกซึมเข้าไปในความคิดของเขาได้ และแล้วเขาก็ต้องไปติดอยู่กลางศึกระหว่าง ออโตบ็อตส์ และ ดีเซ็ปติคอนส์ โดยมีชะตากรรมของจักรวาลเป็นเดิมพันอีกครั้ง แต่ที่ แซม ยังไม่รู้ก็คือ เขาคือผู้กุมกุญแจที่จะไขไปสู่ผลลัพธ์ของการทำศึกระหว่างความชั่วและความดี ด้วยความช่วยเหลือจากคนรู้จักรอบๆ ตัวของเขา เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ แซม เริ่มยอมรับคำขวัญประจำตระกูลที่ว่า "ไม่เสียสละ ก็ไม่ได้ชัยชนะ!"
Synopsis: Two years have passed sine young Sam Witwicky (Shia LaBeouf) saved the universe from a decisive battle between warring races of robotic aliens. Despite his extreme heroics, Sam is still an average teenager with everyday anxieties about heading to college, leaving behind his girlfriend Mikaela (Megan Fox), and separating from his parents (Kevin Dunn and Julie White) for the first time. Of course there is the additional burden of trying to explain his departure to his newest friend and guardian robot, Bumblebee.For Sam the goal is to lead a normal university lifestyle. At Sam's new school, adapting to a new, albeit pushy, roommate, Leo (Ramon Rodriguez), and an equally pushy but much more attractive new acquaintance, Alice (Isabel Lucas), Sam suddenly becomes distracted by visions flashing across his brain like thunderbolts. Fearful that he is suffering from the dementia that plagued his grandfather, Sam keeps his visions a secret. The battle between the Autobots and Decepticons, although a top secret incident, has instigated many changes. Sector 7 has since been disbanded and its most loyal soldier, Agent Simmons (John Turturro), summarily dismissed. In its place, a new agency, NEST, has been created. Utilizing experienced field commanders like Lennox (Josh Duhamel) and Epps (Tyrese Gibson), NEST seeks to work side by side with the Autobots to avoid another deadly confrontation with the Decepticons. Unfortunately National Security Advisor Theodore Galloway (John Benjamin Hickey) possesses little foresight to fully comprehend the inexorable dangers which abound. Driven to gain control of every defense organization, and at the same time do away with what he sees as a frivolous government bureau, Galloway endeavors to terminate NEST, believing that any threat of war has long since passed. Despite his best laid plans, Sam once again finds himself at the center of a tug of war between the Autobots and Decepticons with the fate of the universe at stake. Unbeknownst to Sam, he alone holds the key to the outcome of the struggle between evil and the ultimate power of good. With the help of his friends, his pals in NEST and even his parents, Sam finally learns to embrace the Witwicky birthright, no longer hiding from his family legacy: No sacrifice, no victory!

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments