Tuesday, January 27, 2009,1/27/2009 05:25:00 PM
Red Cliff 2 : สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ
เราออกจากโรงหนังลิโด้มาตอน 4.45 น. แล้วก็รีบจ้ำพรวดมาฝั่งตรงข้ามเพื่อไม่ให้ผิดนัดเพื่อน โอยเหนื่อย เจอห้าที่หน้า ช่องขายตั๋วที่พารากอนชั้น5 ตรงเวลาพอดี เราก็รีบเข้าโรงเลย เพราะกลัวว่าจะไม่ทันหนังฉาย ปรากฎว่า ดีใจจังที่หนังยังไม่เริ่ม เพื่อนเราดูตื่นตาตื่นใจกับโรง พาวลัย มาก เพราะเป็นโรงใหญ่มากกก ( ไม่แน่ใจว่า เทียบกับโรง สกาล่า แล้วใครจะใหญ่กว่ากัน แต่เราว่าน่าจะเป้ฯที่นี่ เพราะเราคุ้นๆว่า สกาล่า เป็นชั้นเดียว ยาวลงไปถึงแถวล่างเลย แต่ที่โรง พาวลัยนี้ มีสองชั้นมั๊ง แล้ว โรงก็กว่างยาวพอๆกัน อันนี้จากกการประมาณนะ ไม่คอนเฟิร์ม )
เปิดฉากมาหนังก็ ปูพื้นนิดๆเกี่ยวกับภาคแรก พอให้รู้ว่า ใครเป็ฯใครแล้วก็ภาคแรกทำอะไรไปมั่ง มาภาคนี้ เราดูสนุกขึ้น เพราะ เริ่มทำใจได้แล้ว กับบุคลิกของตัวละคร ที่ ดำหมองมาก ( พูดแบบเข้าข้างคนสร้าง ก็คือว่า สมัยก่อน ไม่มีเครื่องสำอางค์ คนยังไม่ได้ทากันแดดมั๊ง หน้าเลยดำ 55 ) คราวที่แล้ว สงสัยจะให้บทบาทกับขงเบ้งมากไป ภาคนี้ เลยลดนิดหน่อย ( ขอย้ำว่านิดหน่อย เพราะเรื่องนี้ เป็นการโชว์ กึ๋น ระหว่าง ขงเบ้ง จิวยี่ กับ โจโฉ ดังนั้น ลดบทมากๆ เดี๋ยวดูไม่รู้เรื่อง ) บทส่วนใหญ่ที่หายไปเลยเทไปที่ โจโฉ กับ จิวยี่ ตามคาด ไม่ต้องพูดมากเลย เรื่องนี้ เหลียงเฉาเหว่ย แสดงดีมากๆ อย่างเคย ส่งวนคนที่เล่นเป็นโจโฉ ก็แสดงเก่งโคตรๆ ขงเบ้งไม่ต้องพูดเลย เพราะแฟนคลับเยอะอยู่แล้ว เรื่องนี้ ตัวละครที่ในนิยายพูดถึงน้อยแต่ในหนังสร้างซะเว่อ คือ ซุนฮูหยิน ที่ใส่บทรักกับทหารฝั่งข้าศึกซะคนอ่านสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลังงงเป็นรอบสอง หลังจาก งงมาแล้วจากภาคแรก อยากรู้จัง ว่า คนสร้าง เอา เวอชั่นไหนมาสร้าง ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่อยากอ่านแบบของต้นฉบับอ่ะ จะได้รู้ว่า ฉบับไทยเนี่ย ขาดตรงไหนไปมั่ง เพราะยังไง ชาติเจ้าของเรื่อง ก็น่าจะละเอียดกว่า ชัดเจนกว่าอยู่แล้ว มั๊ง
เอาล่ะ เรื่องนี้ ฉากที่มันส์ ไฮไลท์เลย คือ ตอนใกล้ๆจบ ที่เผากองทัพเรือ โจโฉ จนพินาศสิ้นไป เรียกได้ว่า คุ้มค่าตั๋ว 160 บาทมากๆ มันดูอลังการ ยิ่งใหญ่ จริงๆ บางตอนเราดูไม่ออกเลยว่า มันเป็น CG หรือมันเป็น โมเดล หรือ ของจริง ดูไป ตาก็ลุกไป เพราะสมจริงสุดๆ ไฟที่ลุกท่วมจอแต่ละภาพ ราวกับว่า มันจะเผาผลาญ โรงหนัง พาวลัย ให้ราบไปในตูมเดียว รู้สึกถึงความร้อนเลยนะ เว่อไปมั๊ยเนี่ย
สรุป ดูแล้วมันส์ อยากให้เอาตอนเด็ดๆมาสร้างอีกจัง ดูแล้ว ตื่นตาตื่นใจที่สุดเลย เราว่าดูมันกว่าภาคแรกนะ ใครที่ไม่ได้ดูภาคแรก เราว่า ไม่ดูก็ไม่รู้สึกอะไรมั๊ง เพราะดูภาคสองแล้ว ก็สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก ฉากต่างๆ สมจริงมากๆ ดูแล้ว เข้าใจคำว่า มืออาชีพ จริงๆ ดาราไม่ต้องพูดเลย ชอบทุกตัว โดยเฉพาะตอนนี้ เสียวเกี้ยว ( เมียจิวยี่ ที่เป็นสาวงาม ) ก็มีบทบาทมากขึ้น พูดมากขึ้น ( ภาคแรกแทบไม่ได้ยินเสียงพูดเลย ) ก็เห็นถึงความสวยสง่า แบบนี้ เราคงต้องให้ 8.5 สำหรับ ตอนนี้
เนื้อเรื่องย่อ : ถึงแม้กองทัพบกของ โจโฉ จะต้องแตกพ่ายให้แก่แผนการรบแปดทิศของ ขงเบ้ง อีกทั้งเขายังได้เปิดเผยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการบุกมาที่ผาแดงครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไม่ได้เสียกำลังใจแต่อย่างใด โดย โจโฉ นั้น ก็เตรียมการที่จะบุกเขาใส่ฐานกำลังของ จิวยี่ อีกครั้งด้วยกองทัพเรือจำนวนมหาศาลมากกว่า 2,000 ลำ ที่รวมตัวกันอยู่ที่ผาแดงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ขงเบ้ง และ จิวยี่ ก็ร่วมมือกันออกอุบายล่อลวงกองทัพเรือของ โจโฉ ซึ่งสุดท้ายแล้ว เพราะความโอหังและความประมาทของเขา ก็นำไปสู่เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติจีน โดยนี้เป็นการพูดถึงการร่วมจับมือเป็นพันธมิตรกันของสองก๊ก ที่ทำให้ทหารจำนวนเพียงแค่ 80,000 คน สามารถพลิกเอาชนะทหารจำนวน 1 ล้านคนได้ และมันก็ยังนำไปสู่บทสรุปสำคัญ ที่ทำให้ประเทศจีนต้องแตกออกเป็นสามก๊กโดยสมบูรณ์แบบอีกด้วย
Synopsis : In the early third century, the land of Wu is invaded by the warlord Cao Cao (Zhang Fengyi) and his soldiers. The ruler of Wu, Sun Quan (Chang Chen), calls on the rival warlord Liu Bei (You Yong) for help, but their two armies are still badly outnumbered.However, the strategists Zhou Yu (Tony Leung Chiu Wai) and Zhuge Liang (Takeshi Kaneshiro) see that Cao Cao's army is unused to battling on the sea. With 200,000 men, Zhou Yu and Zhuge Liang defeat Cao Cao's army at the Yangtze River.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,1/27/2009 05:18:00 PM
Kitaro 2 : อสูรน้อยคิทาโร่ 2 บทเพลงต้องสาปพันปี
ต้องเรียกได้ว่ามาดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ คือเานัดเพื่อนไว้ว่าจะมาดูเรื่อง สามก๊กกันที่ พารากอน ทีนี้ ดันมาก่อนเวลบาตั้ง 3 ชั่วโมง ทำไงดีล่ะ เลยโทรบอกเพื่อนว่า เฮ้ย ไม่ต้องรีบมานะ เพราะว่า กว่าหนังจะเข้าตั้ง 5 โมงเย็น ตอนนี้กำลังจะไปดูหนังฝั่ง ลิโด้ หนังรอบ 3 โมง กว่าจะเลิกคงราวๆ 5 โมง แล้วเดี๋ยวเราเจอกันที่ช่องตีตั๋วหน้า พารากอนละกัน เพื่อนผู้แสนดี ก็บอกว่าเออดีแล้ว รถติดนิดหน่อยกว่าจะถึงก็คงราวๆ 5 โมงเย็นเหมือนกัน
ไม่ทันไรเราก็มาอยู่ตรงช่องขายตั๋ว ของลิโด้แล้ว หนังเรื่องนี้ ไม่เห็นมีโฆษณาในหนังสือพิมพ์เลย เพราะตอนเช้าเราก็อ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องนี้ฉาย เอาเถอะ ดูหน้าตาแล้ว ก็น่าจะพอดูได้ น่าจะมีสัตว์ประหลาดอะไรมั่ง
เราเข้าโรงไปก็กำลังร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีอยู่พอดีเลย จบปั๊บก็เดินไปหาที่นั่ง ไม่น่าเชื่อนะว่า หนังเด็กๆแบบนี้ ( คิดไปเองว่า หนังเด็ก ไม่รู้เด็กจริงหรือเปล่า ) จะมีคนดูเยอะขนาดนี้ นับได้ซักประมาณ 30 คนเห็นจะได้ ไม่พูดพล่ามทำเพลง หนังเปิดตัวมา ก็เป้ฯผีผู้หญิงเลย ออกมาร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ เหมือนเพลงกล่อมเด็ก ฟังแล้วขนลุกซุ่ ปรากฎว่า นางเอกได้ยินเพลงนี้ และ เป็นลมหมดสติไป ตื่นขึ้นมาก็มีเกล็ดปลางอกออกมาอยู่ที่มือ หนังเดินเรื่องฉับไวมาก ปรากฎว่า มีอสูรตนหนึ่งชื่อ คิทาโร่ มาช่วย พยายามรักษาให้หาย นางเอกก็ช่างรับมุขดีเหลือเกิน เป็นเราเห็นคนหน้าตาแบบนี้ โผล่มา เราอาจไม่ไว้ใจไว้ก่อน แต่นางเอกของเรื่องตกใจแป๊บเดียว ก็สนิทกับผีแล้ว ปรับตัวเร็วมากจริงๆ เราดูไปได้ซักพักเราถึงได้เข้าใจว่า อ๋อ หนังเรื่องนี้มันเคยเป้ฯการ์ตูนมาก่อนนี่นา เรื่องนี้ทำใหม่เป็นเวอร์ชั่นคนแสดง เราเคยแว๊บๆเห็นในการ์ตูน เป็นผีผมเป๋ ตัวเล็กๆ หน้าตาธรรมดา แต่พระเอกเรื่องนี้ หล่อเชียว เดาว่า ก็คงไปเอาพระเอกในทีวีมาแสดงอ่ะนะ เพราะเราไม่รู้จักเลย กหลับมาคุยเรื่องหนังต่อ เอาเป็นว่า เนื้อเรื่องดำเนินได้รวดเร็วมากๆ ตัดภาพฉับไว ดูเพลิน เห็นได้ชัดเลยว่า คนแต่งเรื่อง จันตานาการบรรเจิดสุดๆ มีผีแมว ผีหนู ผีกำแพง ผีลูกตา ปีศาจหยั่งรู้ เรียกได้ว่า อยากให้มีผีอะไร มันสร้าง มันเสกขึ้นมาทุกตัว แล้วแต่ละตัวก็แต่งตัวได้มันพะยะค่ะมากๆ เหมือนหลุดออกมาจากแคตตาล็อกแฟชั่น แถวใบหยก ดูแล้ว คิดถึง ลีน่าจัง มากๆๆ
สรุป หนังเด็กไปนิดเพราะเอาพล็อตมาจากหนังการ์ตูนญี่ปุ่นมารีเมกเป็นหนังคนแสดง เนื้อเรื่องสนุกดี เหมือนดูนิทาน ที่แฮปปี้เอนดิ้ง ( แต่ดูแล้วเหมือนมีตอนต่อไป ที่พร้อมจะสร้างมาหลอกตังค์คนดูอีก ) ดารา คอสตูม โอเคหมด แต่ เหมาะสำหรับคนที่เคยดูการ์ตูนมาก่อนน่าจะทำให้ดูสนุกยิ่งขึ้น เราไม่เคยดูเลยงงเล็กน้อย 555 พอดีไม่ค่อยโดนใจเราเราให้แค่ 6.1 พอ
เนื้อเรื่องย่อ ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย หญิงสาวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยคนแล้วคนเล่า หลังจากพวกเธอได้ยิน เพลงต้องสาป ซึ่งเป็นเพลงที่เด็กร้องตอนเล่นเกมยักษ์ปิดตา ครึ่งโยไคครึ่งมนุษย์ คิทาโร่ (เออิจิ เวนต์ซ) ชักพาผองเพื่อนเข้ามาสืบคดีอันลึกลับนี้ ทำให้เขาได้พบกับ คาเอเดะ (คิเอะ คิตาโนะ) มนุษย์สาวมัธยมปลายที่มีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ด้วยบรรณารักษ์ของห้องสมุดโลกปีศาจช่วยให้พวกเขารู้ว่า คำสาปนี้เกิดจากการปลดปล่อยโยไคชั่วร้ายออกจากผนึก 1,000 ปี คิทาโร่และเพื่อนๆ ต้องการช่วยเหลือคาเอเดะ จึงต้องรวบรวมเครื่องดนตรีโบราณ 5 ชิ้น และทำพิธีผนึกโยไคชั่วร้ายตนนั้นอีกครั้ง โดยต้องทำให้สำเร็จภายใน 48 ชั่วโมง พวกเขาแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ที่แสดงบนแผนที่โบราณ คิทาโร่และคาเอเดะมุ่งหน้าไปยัง ท้องฟ้า หรือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในเขตฮาโกเนะ แมวสาว (เรนะ ทานากะ) และ เจ้าหนูผี (โย โออิซุมิ) มุ่งหน้าไปยัง แผ่นดิน หรือภูเขาทาคาโอะ ส่วน แม่มดทราย (ชิเงรุ มุโรอิ) และ เฒ่าทารก (คันเปอิ ฮาซามะ) มุ่งหน้าไปยัง มหาสมุทร นอกชายฝั่งแถบแหลมมิอุระ เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับความรักต้องห้ามอันน่าสะเทือนใจระหว่างมนุษย์และโยไค โยไคที่ชั่วร้ายหลายตนปรากฏกายขึ้นจู่โจมคีทาโร่และผองเพื่อน ไม่ว่าจะเป็น ยาฉะ (โซจีซบ) นูราริห์ยอน (เคน โองาตะ) แม่มดงู (ชิโระ ซาโนะ) และแม่มดน้ำ (ชิโนบุ เทราจิมะ) คีทาโร่จะสามารถปลดปล่อยคำสาปนี้ เพื่อปกป้องคาเอเดะและมวลมนุษยชาติ รวมทั้งเอาชนะโชคชะตาของตัวเองให้ได้
Synopsis : Young women disappear one after another in drizzling rain. They all hear the "cursed song" of the Cage Song before they vanish into thin air. Kitaro (Eiji Wentz) and his friends investigate these mysterious cases when they meet Kaede (Kie Kitano), a high school girl who finds herself involved in this mystery. With the help from the librarian of Yokai Library, they find out that the curse was caused by an evil Yokai that was released from 1,000 years of sealing. To save Kaede, they are to gather the 5 ancient musical instruments and perform the ritual to seal the evil Yokai again, which has to be done within 48 hours! Kitaro and his buddies depart for three different points that the ancient map indicates. Kitaro and Kaede head to "sky", the sacred mountain in Hakone, Cat Girl (Rena Tanaka) and Rat Man (Yo Oizumi) head to "land", Mt. Takao, and Sand Witch (Shigeru Muroi) and Old Cry Baby (Kanpei Hazama) head to the "ocean" off the coast of Miura peninsula. Will Kitaro be able to stop the curse, protect Kaede and the human beings from the evil Yokai, such as Yasha (So Ji-Seop), Nurarihyon (Ken Ogata), Serpent Witch (Shiro Sano) and Watery Witch (Shinobu Terajima)? Will Kitaro overcome his destiny?

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Friday, January 23, 2009,1/23/2009 04:05:00 AM
Hode Nha Haew : โหดหน้าเหี่ยว
ถือได้ว่าเป็นหนังไทยที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์สูงเรื่องนึงเลย สำหรับเรื่อง โหดหน้าเหี่ยวนี้ เรียกว่า ก่อนหน้านี้ ถ้าเข้าไปดูหนังเรื่องไหนก็ตามเป็นต้องได้เห็ฯโฆษณาหนังเรื่องนี้ทุกโรงไป ทั้ง เอสเอฟ อีจีวี แล้วก็ เมเจอร์ เราก็คิดว่าน่าจะสนุกนะ ก็ดูจากตัวอย่างมันก็ขำดีนี่ เห็นคนดูหัวเราะกันทั้งโรง
และสมมติฐานของเราต่อหนังไทยก็เป็นจริงอย่างที่คิด วันนี้เราก็เลยเลือกมาสถิตย์อยู่ที่ อีจีวี ลาดพร้าว แต่เนื่องจากเป็นวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั๋วเลยมีราคา 100 บาท ขาดตัว บัตรลดอะไรก็ไม่มีซักอย่างเลย ต้องจ่ายเต็ม
ที่นี่ มาดูกี่เรื่องกี่เรื่อง โรงก็ยังเหม็นอับอยู่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่า มันแก้ยาก หรือไม่ได้แก้ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า เหม็นติดทนติดนานเหลือเกิน
หนังเปิดฉากมาก็เป็นฉากเดียวกับที่โฆษณาคือตอนที่ จาตุรงค์อยู่ในคุก เพราะฉะนั้น เมื่อมาดูอีกรอบ หลังจากที่ดูในตัวอย่างมาแล้ว 10 กว่ารอบ มันก็เลยไม่ขำ จะมีคนในโรงบางคนหัวเราะอยู่บ้างแต่ก็ไม่เกิน 2 คน เราเดาว่า คงไม่เคยดูในหนังตัวอย่าง แล้วเชื่อมั๊ย สุดท้ายมันก็เป็นแบบที่เราคิดเอาไว้จริงๆว่า ที่เห็นในหนังตัวอย่างนั่นแหละ คือ ส่วนที่ตลกที่สุดในหนัง แล้วเราก็ได้ดูมาหมดแล้วไม่ว่าจะตอน วันแอ๊นท์ ทูแอ๊นท์ ทรีแอ๊นท์ โฟร์มด ตอนค่อมถูกมีดเสียบแล้วไปหาหมอตาบอด ฯลฯ คือ มาดูในโรงจริงๆแบบเต็มเรื่อง มันก็เลยไม่ขำแล้ว เนี่ยน๊า ถึงว่าอย่าตั้งความหวังเอาไว้มาก คือ คนสร้างเรื่องนี้ เราว่าเป็นคนเดียวกับที่สร้าง แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า ซึ่งเรื่องนั้น ตลกมากกกกก พอมาเรื่องนี้ เราก็เลยคิดว่าคงสนุกไม่แพ้กัน เลยผิดหวังเลย ไม่น่าเลยเรา
ถ้าเอากันจริงๆ มันก็ไม่ถึงกับผิดหวังมากมายอะไรหรอก เพียงแต่มันไม่ได้ขำเท่าที่หวังไว้เท่านั้นเอง เรื่องนี้ ดาราเด็กน่ารักมากทั้ง หญิงและชาย บทเด่นเรื่องนี้ ต้องยกให้ จาตุรงค์ เพราะเป็นตัวเอกของเรื่อง นอกนั้นก็เล่นได้โอเคทุกตัว เพราะเป็นมืออาชีพหมดทุกคน แต่เสียอย่างเดียว จ๋าเป็นนางเอกแท้ๆ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่เลย มีบทเล่นนิดเดียว เสียดาย เพราะแสดงหนังเก่ง
สรุป เราว่าหนังไม่สนุกเท่าไหร่นะ ดูเพลินๆคงได้ เนื้อเรื่องดีกว่าเรื่องศิษย์ส่ยหน้าหน่อย แต่ตลกสู้ไม่ได้เลย มุขที่ปรากฎในโรงถ้าเราได้ดูครั้งแรกเราคงหัวเราะสุดฤทธิ์ ก็ไม่เป็นไร เผื่อคนที่ยังไม่ได้ดู ที่เราอยากฝากไว้คือ ไม่อยากให้เอาเปรียบคนดู ส่วนที่ตลกๆ มากๆ น่าจะมีเพิ่มในหนังมากกว่านี้อีกหน่อย เราว่ามันตลกน้อยไปหน่อยนะ คงไม่พูดอะไรมากกว่านี้อ่ะนะ ไม่รู้จะพูดอะไร คะแนนเราให้ 6.5
เนื้อเรื่องย่อ :มิตรภาพ ความรัก และความแค้นในอดีตที่ไม่ลืมลงของ 4 เสือเพื่อนซี้ จากยุคอันธพาลครองเมืองที่เคยเรืองรอง แต่ยังจมอยู่กับอดีต ทั้งที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปเป็นยุคดิจิตอลแล้ว “สอง คลองเตย” (จตุรงค์ มกจ๊ก) และ “ไท ไดมารู” (นุ้ย เชิญยิ้ม) เพื่อนรักนักเลง ที่ต้องมาแตกคอกันเพราะเรื่องของ “มะปราง” (โซบี โชติรส) เมียรักของ สอง ที่ตกลงไปอยู่กินกับ ไท ทำให้ สอง นักเลงพนัน สติแตก ชีวิตผิดพลาด ต้องติดคุกนานนับ 20 ปี โดยมีความแค้นที่รอวันออกมาชำระ แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปจนหน้าเหี่ยวแล้วก็ตาม... เมื่อ สอง พ้นโทษ เขาได้ตามแกะรอยหาเพื่อนซี้นักเลงเก่า ไท ไดมารู และอีก 2 คน คือ “มงคล ราม่า” (ค่อม ชวนชื่น) อดีตนักเลงเจ้าของร้านวีดีโอคลาสิค และ “เปี๊ยก ซัมมิท” (โก๊ะตี๋ อารามบอย) เซียนพระเครื่อง ผู้คอยเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือ ไท โดยตลอด ด้าน ไท ไปตามหา “กิ๊ฟ” (จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี) ลูกสาวที่ทำงานเป็นนักร้องในผับ แต่กลับไม่พบ จึงต้องไปตามดูที่คอนโด แต่พบว่า กิ๊ฟ อยู่กินกับ “เอ” (โจ๊ก-อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ) ครูสอนภาษาอังกฤษของ 2 เด็กแสบ “แก่น เนสเล่” (เซน1-ด.ช.สรรภวัต สุระเกรียงศักดิ์) และ “เปรี้ยว กรีนสปอร์ต” (คิตตี้-ด.ญ.กัจนฐานิยา ศรีโรจน์วัฒนะ) เมื่อรู้ว่าลูกสาวชิงสุกก่อนห่าม ไท จึงตัดสินใจพา กิ๊ฟ กลับบ้าน แต่แล้ว... ไท กับ กิ๊ฟ ก็ต้องเผชิญหน้ากับ สอง ที่รอท่าอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน 2 เพื่อนรัก เปี๊ยก และ มงคล ก็รีบขับรถบึ่งมาช่วยเพื่อนแบบทันควัน แต่ดันมี หลวงพ่อ (จิ้ม ชวนชื่น) ตกกระไดพลอยโจรติดรถมาด้วย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ แม้ว่า เปี๊ยก และ มงคล จะสามารถช่วย ไท และ กิ๊ฟ ให้รอดพ้นมาได้ แต่ สอง ก็ยังคงมุ่งมั่นตามล่า ไท กับพวก จนกระทั่งได้มาเจอหน้ากันอีกครั้ง
Synopsis : Thai top comedians are coming together again to make a big comedy in Hod Na Haew. It’s the story of 4 great gangsters from back in the day. They are still buried in the past; even though, the modern life is taking over everything around them. Not adapting to the digital world and disconnecting with reality, they have to search for revenge that is bound to be a chaotic ride.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Thursday, January 22, 2009,1/22/2009 02:04:00 PM
The Fatality : ตอกตราผี
ถ้าช่วงไหนอยากประหยัดเงินดูหนัง แนะนำให้มาที่นี่เลย EGV ลาดพร้าว ตั๋วราคา 80 บาทเอง ยิ่งถ้าช่วงนั้นมีบัตรลดอะไรที่ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยนะ ขอบอกเลยว่า อย่างกับดูฟรีแน่ะ เพราะว่าสามารถใช้ลดได้อีก บางทีอย่างที่เคยเล่า ดูหนังเรื่องหนึ่งเหลือแค่ 30 บาทเอง ถูกสุดๆ แต่ยังไม่เคยมีปรากฏซักครั้งในชีวิตเลยว่า เราจะยอมเสียตังค์ซื้อ ข้าวโพดคั่วชุดกิฟท์เซ็ทหน้าโรงหนังกิน แต่คราวนี้อดใจไม่ไหวจริงๆเพราะความน่ารักของตัวการ์ตูน Bolt ที่กำลังจะเข้าฉายเร็วๆนี้ ทำให้เราตัดใจซื้อมา 1 ชุด ราคา 149 บาท ก็ประกอบไปด้วย ข้าวโพดคั่ว 1 ถังย่อมๆ กับ น้ำอัดลมขนาด 32 ออนซ์ 1 แก้ว แก้วสีแดงน่ารักสุดๆ เราเลือกตัวที่เป็นหน้าตาคล้ายๆหนูอยู่ในลูกบอลใส ดูแล้วบ้องแบ๊วดี คนขายบอกว่าเพิ่มอีก 10 บาท เราจะได้ ชุดของขวัญอีก 1 ห่อ ใครล่ะจะไม่เอา เราก็เอาดิ เปิดของขวัญออกมาดูก็เป็น แมกเน็ทเอาไว้ตั้งโต๊ะทำงาน 1 ชุด ก็โอเคอะนะ แต่ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ แหม 10 บาท อย่าคิดมาก
เราเข้าไปดูหนังดีกว่า มีคนทั้งโรงอยู่ 4 คน หนังที่ดูนี่เป็นหนังผี ดูไปดูมาก็กลัวกันเอง 5555 หนังเปิดเรื่องมา ก็พูดภาษาจันกลางกัน โช้งเช้ง งงว่า อ้าวนึกว่าหนังไทย ที่ไหนได้ พูดจีนเฉยเลย ซักพักพระเอกก็ย้อนมาฟื้นที่เมืองไทย กลายเป็นคนไทยเฉยเลย หนังเรื่องนี้ ดูแล้วเหมือนดูเรื่อง เดทโน๊ท เวอร์ชั่นจีนปนไทย แบบว่า พระเอกเป็นยมฑูต มีหน้าที่เอาใบมรณะบัตรของคนไปตอกตราประทับ ใบมรณะบัตรของใครถูกตราประทับจะตายทันที ไปๆมาๆมีการเอาไปโยงกับการฆาตกรรมในครอบครัวด้วย ดูแล้วก็งงๆงั้นๆ แปลกๆ คือ เข้าใจนะว่าเป็นจินตนาการ แต่รบกวนช่วยแต่งเรื่องให้มีที่มาที่ไปนิดนึงได้มั๊ย เพราะเราดูแล้วงง อาจด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด คือเราไม่เข้าใจว่า ตัวละครแต่ละตัว อย่างเช่น ผัวนางเอก พระเอก เพื่อนพระเอก เป็นยมฑูตได้ไง อยากรู้ อย่างเป็นมั่งไง 5555
สุดท้ายคนดีก็ตาย แล้วคนชั่วก็ลอยนวล ไม่รู้จะสั่งสอน หรือ ให้ข้อคิดอะไรแก่อะไรคนดูไม่ทราบ คิดแล้วไม่รู้ว่าจะด่าหรือ จะยังไงดี อึดอัด
สรุป หนังไม่ค่อยโดนใจเราเท่าไหร่ ทั้งเรื่องรู้จักดาราเด่นๆคือตัวนางเอกอยู่คนเดียว คือ เม-พิชนาถ ที่เหลือ ก็ ... อ้อ มี วิยะดา อุมารินทร์ อีกคน แหมแต่เรื่องนี้ล่อซะแก่จนจำไม่ได้เลย เคยเห็นตั้งแต่เป็นนางเอก บัดนี้เธอสิ้นสภาพไปแล้ว อนิจจา เนื้อเรื่องดูเข้าใจไม่ยาก แต่เสียดาย ไร้ซึ่งที่มาที่ไปของตัวละคร เลย งง ๆ นิดหน่อย ดาราพยายามพูดไทย ก็น่าเห็นใจเพราะเล่นเป็นวิญญาณคนจีน มาสิงร่างคนไทย เลยต้องพยายามพูดไทยให้ได้ ภาระเลยตกอยู่กับคนดู เพราะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย น่าจะหาคนมาพากย์จะได้ดูสบายหูหน่อย ไม่อยากพูดมากแล้ว ผู้กำกับเป็นคนไทย ก็น่าจะรู้มั่งว่าคนไทยชอบไม่ชอบอะไร เรื่องนี้เราให้แค่ 6.1
เนื้อเรื่องย่อ : อัสนี (เคนจิ วู) นายทะเบียนหนุ่ม ได้ฟื้นขึ้นจากอุบัติเหตุที่เกือบคร่าชีวิตเขา แต่การฟื้นครั้งนี้ ทำให้เขากลายเป็นอัสนีคนใหม่ ที่พูดภาษาจีนและจำใครไม่ได้เลย แม้แต่ นกุล (พิชญ์นาฎ สาขากร) ภรรยาของเขา เขาพยายามบอกกับทุกคนว่า ชื่อที่แท้จริงของเขาคือ เหอซื่อหยง มองจากมุมมองของเหอซื่อหยง เขาเป็นชายหนุ่มชาวไต้หวันที่น้อยเนื้อต่ำใจในชะตาชีวิต จึงคิดฆ่าตัวตาย แต่กลับฟื้นขึ้นมาในร่างของหนุ่มไทยที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ หน้าที่การงาน และภรรยาสาวแสนสวย คนรอบตัวอัสนีต่างก็หนักใจในความผิดปกตินี้ จิตแพทย์หนุ่ม สแตนลีย์ (แมตต์ วู) จากไต้หวัน ช่วยให้เหอซื่อหยงในร่างอัสนี ค่อยๆ ค้นพบความลับบางอย่างในห้องใต้ดินของที่ทำงาน ความหวาดกลัวค่อยๆ คืบคลานเข้ามา วิญญาณของเจ้าของร่างเดิมกลับมาเพื่อทวงร่างคืน การต่อสู้ของอำนาจเหนือธรรมชาติระหว่างวิญญาณ 2 ดวง เพื่อแย่งชิงร่างและความรักจึงเกิดขึ้น
Synopsis : After recovering from a tragic accident, Assanee (Kenji Wu) becomes a stranger to the world he wakes up to. He speaks Mandarin among Thai people and claims that he never knows his own wife, Nakul (Pichanat Sakakorn). He remembers himself as Her Se Yong, an unsuccessful man from Taipei.In the middle of this confusion , Dr. Stanley (Matt Wu), a psychiatrist from Taiwan, helps him unlock the puzzle one by one. The outcome is far more than he'd ever expected, the two souls compete for control of the body that is developing supernatural powers over life and death.

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Tuesday, January 20, 2009,1/20/2009 02:35:00 PM
The Elephant King : ฤดูแห่งรัก
วันนี้วางแผนไว้ว่า เดี๋ยวออกกำลังกายเสร็จ เราจะนั่งรถไป จามจุรีแสควร์หาอะไรกินซะหน่อย จากนั้น ก็จะไปดูหนังเรื่อง The Elephant King เพราะเป็นแนวอินดี้ มีโรงฉายน้อย อาจจะไปดูที่ พารากอน เพราะที่นั้น วันนั้น ที่ไปดู The Defiance เช็คแล้วว่า ฉายที่นั่นแน่ๆ
เราเผื่อเวลาไว้ว่า น่าจะเดินทางแบบประหยัด เลยต้องใช้เวลาประมาณ 1.15 ชั่วโมง เราเลยออกจากฟิตเนสตอน 10 โมง เพ่อจะได้ไปถึง จามจุรีแสควร์ซักประมาณ 11.15 จะได้เวลากินข้าวเที่ยวของเราพอดิบพอดีเลย
เราวางแผนแล้วว่า สายที่ผ่านก็คือสาย 46 ที่ผ่านสามย่านด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเราจะกะเวลาแม่นอย่างกับตาเห็นเลย เราเดินทางจาก บางนา มาถึงสามย่าน ใช้เวลา 1.15 ชั่วโมงพอดี ( นี่ขนาดรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่นะเนี่ย ) เรารีบวิ่งไปชั้นใต้ดินเลย เพราะเราดูทีวีแล้วปรากฎว่า มีร้านขาย อีหมี่อยู่ร้านนึง จำชื่อร้านไม่ได้ แต่เมนูนี้น่ากินมากๆ ปรากฎว่า พอถึงร้านที่ว่า เมนูที่ว่า มีจริงๆด้วย แต่วันนี้ร้านยังไม่มาเปิด สภาพว่างเปล่า ดูท่าวันนี้เราจะไม่ได้กินซะแล้วเสียดายจัง เราเลยต้องไปกินร้านพรานทะเลเจ้าเดิม ข้าวไข่เจียวฟูกุ้ง จานละ 55 บาท เราว่า อภิมหาโคตรแพง ทำให้เรารู้ว่า อ๋อ ราคานี่เลียนแบบมาจาก พารากอนเลยนะ มิน่าไม่มีใครมากินเลย แล้ว นิสิตนักศึกษาจะมากินไหวหรือวะเนี่ย แต่ไม่เป็นไร เรามาเพื่อรู้ รู้แล้วก็ไม่มาอีกแล้วกลัว อ้อ น้ำอักลมแก้วขนาดที่ขายกันทั่วไปนี่ 20 นะจ๊ะ แก้วเเล็กว่ามาตรฐานก็มี 15 บาทครับ
ไหนๆก็จะไม่มาอีกแล้ว เรากำลังเดินทางกลับไปดูหนัง ซึ่งเราคิดออกแล้วว่าเราน่าจะไปดูที่ เอสพลานาดดีกว่า เพราะไปโดยรถใต้ดิน แป๊บเดียวก็ถึง เราก็เดินผ่านร้าน Red Mango ขายไอศครีม โยเกิต ก็ไม่รู้อารมณ์ไหนพาไป เราก็เกิดอยากกินอ่ะนะ เราสั่งแบบสามลูก ( ไม่รู้จะเรียกอะไร มันเป็นเกลียวๆ เหมือนอึ 5555 ราดถั่วแดงหน่อยนึง ให้ทายว่า เท่าไหร่ 199 บาทขาดตัว รสชาติเหมือนกินโยเกิตเปี๊ยบ อ้าว แล้วไง ทำไมต้องแพงขนาดนั้นก็ไม่รู้ พูดไปทำไมมี สั่งไปแล้วก็กินให้หมด ไม่รู้นะ ความรู้สึกเราว่า ขายซัก 99 ก็แพงแล้วนะ นี่ล่อไป 199 โหดเกิน พอกันที คงไม่มาเหยียบแล้วล่ะ ชาตินี้ บ๋ายบาย
เรานั่งรถไฟฟ้ามาแค่ 15 นาทีก็ถึง เอสพลานาดสมใจ มีรอบฉายพอดีเลย พูดแล้วเหมือนโกหก ไม่รู้ที่นี่เปิดมาเป้นโรงหนัง แสตนด์อะโลนได้ไง ไม่มีคนเลย รอบที่เราดู มี2คนเอง 2 คนจริงๆนะ ไม่ได้เว่อร์ โรงเบ้อเร่อ ดูเวิ้งว้างมากๆ ( แต่จริงๆ เราชอบนะ เงียบดี 5555 ) เป็นหนังแนวอินดี้ ที่อินดี้ดี แต่คนถ่ายภาพน่าจะเป็นคนในวงการนะ ไม่น่าใช่มือสมัครเล่น ดูจากมุมกล้อง แล้วก็การลำดับภาพต่าง เราว่าเหมือนดูหนัง ฮอลลีวู้ดอยู่เลย
เรื่องนี้ ฟลอเรนซ์เล่นเป็นสาวชงเหล้า เอ เราเข้าใจว่า ฟลอเรนซืเป็นฝรั่งลูกครึ่งน๊า แต่ฉไนการพูดภาษาอังกฤษของเธอห่วยแตกแบบนี้ พอเทียบกับอนันดาแล้ว คนละเรื่องเลย ไม่รู้เราจำผิดหรือเปล่า ว่าเธอเป็นลูกครึ่ง
หนังเหมือนหนังรัก คือ พี่น้องฝรั่งคู่หนึ่งมาอยู่เมืองไทยด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่กลับมาตกหลุมรักสาวไทย แหมเรื่องนี้ สาวไทยเราก็เก่งเรื่องบนเตียงซะจนฝรั่งลืมบ้านเลย เป็นใครๆก็หลง ก็สวยซะขนาดนี้ แถม...เก่งอีกต่างหาก สึดท้ายก็โดนสาวไทยหักอกซมซานกลับเมืองนอกแทบไม่ทัน จบเห่เอวังด้วยประการฉะนี้
สรุป เนื้อเร่อง มีอะไรมากกว่าที่เรา ถ้าเราดูแบบหยาบๆคงได้แค่นี้ แต่สายตาฝรั่งที่ถ่ายทำคงต้องการบอกอะไรมากกว่านี้ เกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเชียงใหม่ นักศึกษาทำไซด์ไลน์เป็นคนชงเหล้าเอย ยอมขายบริการทางเพศแลกเงินเอย อยากได้อะไรก็ใช้เงินฟาดหัวคนไทยได้ทุกเรื่อง อย่างซื้อช้างมาเลี้ยงที่คอนโดเป็นต้น เซ็กซ์หาได้ง่ายมากเหมือนร้านเซเว่น ฯลฯ ดูแล้วก็หดหู่ ทั้งๆที่เป็นเรื่องจริง ไม่รู้ทำไมเราไม่อยากให้คนชาติอื่นมามองเราที่จุดนี้เรื่องเดียว
สรุป ดูแล้วก็สะท้อนใจ ดูหนังฝรั่งกี่เรื่องๆ ที่พูดถึงเมืองไทยจะต้องมีฉาก โสเภณีไทยทุกเรื่องไป เรื่องคอรับชั่นก็อีกเรื่องนึง เห็นมันตอกย้ำซ้ำเติมได้ทุกที แหมน่าจะมองมุมอื่นกันบ้าง หรือว่าเรื่องนี้มันโดเด่นมากก็ไม่รู้ 555 พูดไปก็เท่านั้น หนังดูเพลิน ทำได้ไม่ง่วงเลย เพราะเวลาที่คนสร้างพยายามบอกคนดูเรื่องในแง่ลบของสังคมไทย รู้สึกมันปุดๆอยู่ข้างในทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งมั๊ง 555 เอาเป็นว่า เราให้ 7.1 ก็แล้วกัน
เนื้อเรื่องย่อ: หนุ่มอเมริกัน เจก (จอนโน โรเบิร์ตส์) อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพื่อหลบหนีปัญหายุ่งๆ ที่เขาก่อไว้ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อมีหมายเรียกจากทางการส่งมาตามตัวเขา แม่ของเขา ไดอานา (เอลเลน เบอร์สตีน) ก็ส่งน้องชายของเขา โอลิเวอร์ (เทต เอลลิงตัน) มาตามตัวเขากลับบ้าน โอลิเวอร์กลับหลงใหลความเย้ายวนในเมืองไทย เช่นเดียวกับพี่ชายของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้พบ เล็ก (วนิดา ฟลอเรนซ์ เฟเวอร์) หญิงสาวที่พี่จ้างมาให้ทำดีกับเขา โอลิเวอร์ตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นทำให้เจกเริ่มแสดงอาการหดหู่สิ้นหวัง ทำให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องยิ่งร้าวฉานมากกว่าที่เคย ความสัมพันธ์ของ เจก โอลิเวอร์ และเล็ก ทำท่าจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม สองพี่น้องต่างต้องตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่ และเมื่อโอลิเวอร์ได้เห็นด้านที่ตกต่ำและการทำร้ายตัวเองของเจก โอลิเวอร์ก็ต้องตัดสินใจว่าจะช่วยชีวิตพี่เอาไว้ หรือว่าจะเลือกชีวิตตัวเองดี
Synopsis : Jake (Jonno Roberts), lives in Thailand, continents away from the legal trouble he created in America. When charges are brought against Jake, his mother Diana (Ellen Burstyn) sends her other son Oliver (Tate Ellington) to lure his reckless, older brother back home. Oliver joins Jake in nights of excess, and falls in love with Lek (Florence Faivre), a girl whom Jake is paying to be nice to Oliver. As Oliver falls deeply in love for the first time, Jake slips deeper into despair, and the seams of their relationship begin to come undone. As the threesome heads toward a tragic conclusion, each brother questions his own motivations for his actions. When the true extent of Jake's decadence and self-destruction is revealed to Oliver, he is forced to decide whether he will save his brother's life or his own.

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,1/20/2009 02:31:00 PM
Defiance : วีรบุรุษชาติพยัคฆ์
เป็นอีกครั้งที่เราได้ดั้นด้นไปดูหนังที่ พารากอน เนื่องจากเราได้บัตรซื้อหนึ่งฟรีหนึ่งมา ตอนแรกเราว่าจะดูเรื่อง The Elephant King แต่ไม่มีรอบเลย ไม่เป็นไร เรื่องนี้ก็ได้ พระเอก เจมส์บอนด์ คงไม่ทำให้เราผิดหวังหรอกน่า
เรานัดเพื่อนซี้สมัยเชียงใหม่ ที่ตอนนี้มาอยู่กทมแล้ว ไปไหว้พระกันก่อนที่ วัดข้างๆ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตหลังปีใหม่ เพราะยังไม่ได้ไปไหว้พระที่ไหนเลย ดีเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อนะ ว่าเราเรียน จุฬา คณะเราก็ใกล้ๆกับวัดปทุมฯนี่แหละ แต่ไม่เคยแม้แต่จะมองเข้าไปเลย แต่วันนี้ เราได้มายืนอยู่ในรั้ววัดแล้ว รู้สึกว่าวัดนี้เล็กจัง แต่พระสงฆ์ที่ออกมากวาดวัดแระมาณ 10 คน กำลังขะมักเขม้นเลย อยากช่วย แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดกับพระยังไงดี เลยนั่งเป็นกำลังใจให้ แล้วก็รอเพื่อนเราไปด้วย ซึ่งเลยเวลานัดมา 10 นาทีแล้วยังไม่ปรากฏตัว เรานึกถึงสมัยที่เรายังเด็กกว่านี้ ถ้ามีใครมาทำกับเราแบบนี้ เรากลับบ้านไปแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะแก่ขึ้นหรือว่าอีโก้เราลดลง ความคิดที่ว่าโกรธ ไม่มีเหลือเลย เราก็นั่งรอไปเรื่อยๆ ซักพักก็ปรากฏกายมา เรารีบไปไหว้พระ เพราะเค้าจะปิดประตูไม่ให้เข้าไปไหว้แล้ว ตลกดี เรารีบไหว้แล้วรีบไปจองตั๋ว เพราะยังมีเวลา เพื่อนเราดันหิว เราก็นึกว่าจะเข้าไปกินในศูนย์อาหารพารากอน ซึ่งแพงโคตร ที่ไหนได้ เพื่อนเราซื้อข้าวไข่เจียวข้างนอกเอาเข้าไปกินข้างในเฉยเลย 20 บาทเอง แต่ความสุขและความอร่อยเท่ากันเด๊ะ อิ่มไปอีกมื้อ
มาพูดเรื่องหนังดีกว่า เรื่องนี้ ดาเนี่ยล เครก เล่นเป็นคนรักชาติก็เล่นได้ดีตีบทแตกกระจุยกระจาย รวมทั้งน้องชายที่รักชาติอีกสองคนด้วย เล่นดีทุกคน พูดแบบไม่ยอนะ เราว่า ดาราในเรื่องนี้ตีบทแตกทุกตัวเลย ไม่รู้เป็นรเพราะเป็นหนังแนวซีเรียสรึเปล่า เลยทำให้ บรรยากาศในการดู เครียดไปหมด เราไม่ได้ยินเสียงคนใมนโรงพูดเลย นอกจากเสียงเพื่อนเราคนเดียว คนนี้เรายกให้หนึ่งคน เพราะเป็นคนที่ดูไปชอบพูดไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรดังมาก เลยไม่โดนเราเอ็ด 555 หนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ถ้าขืนกินน้ำเข้าไปเยอะๆ อาจมีปัญหาช้ำรั่วได้ 5555
คนในโรงถือว่าเกือบเต็มโรงเลยนะ เพราะหนังมัโรงฉายน้อย ที่ SF บางกะปิก็ไม่ได้ฉาย เราก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ สาขาอื่นเราเช็คดูจาก นสพ ก็ฉายนะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเค้าคิดว่า แถวนี้มีเราดูคนเดียวมั๊ง ฉายไปก็ไม่คุ้ม เลยไม่ฉายดีกว่า 5555
ดูเรื่องนี้ไป ใจเราก็คิดไปถึงหนังเรื่อง ชินเลอร์ลิสท์ โอยเรื่องนั้น ดูแล้วหดหู่กว่านี้มาก ถึงแม้จะคอนเซปท์เดียวกัน คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว แต่เรื่องนั้น ดูแล้วภาพติดตามากกกกก น่ากลัว เห็นแล้วสยองเลย แล้วสตีเว่น สปีลเบอร์กแกก็ใช่ย่อยที่ไหนล่ะ แกทำซะคนดูอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์แน่ะ เรื่องนั้น หนังดี แต่ขอดูหนเดียวพอ กลัว
เรื่องนี้ เราว่า เค้าไม่ได้เน้นฉากฆ่าคนเป็นคนๆ แต่เน้นฉากรบมากกว่า โอเคแหละ ถึงจะฆ่ากัน แต่พอเป็นการใช้ปืนใหญ่ใช้อะไรแบบนี้ เราก็คุ้นตาแล้ว เลยไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ ฉากตายก็โดยยิงตายเป็นเยอะๆ ไม่โฟกัสที่คนไหน แบบนี้พอดูได้ พอทน
สรุป รวมๆแล้ว เราว่าเป็นหนังดีมากเรื่องนึงนะ ที่คนสร้างจับเอาบรรทัดนึงในประวัติศาสตร์เอามาสร้างเป็นตุเป็นตะได้เป็นหนังเรื่องนึงเลย ดูแล้วก็โอเคไม่เสียดายเงินเลย มีฉากระเบิดที่เป็นฉากบังคับของหนังแอคชั่นสงคราม มีทั้ง ความรักของมนุษยชาติ ความเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ เรียกได้ว่ามีทุกรสเลย เรื่องนี้เราให้ 8.2 เลยแหละ แต่อาจไม่ซื้อเก็บนะ เพราะไม่ค่อยโดนเกี่ยวกับ แนวสงครามเท่าไหร่
เนื้อเรื่องย่อ : ในปี 1941 ชาวยิวในประเทศยุโรปตะวันออกเป็นพันๆ คนถูกสังหารโหด 3 หนุ่มพี่น้อง ทูเวีย (แดเนียล เครก) ซูส (เลียฟ ชไรเบอร์) และ เอซเซล (เจมี เบลล์) หนีรอดมาได้ และอาศัยป่าทึบที่พวกเขาเข้านอกออกในกันมาตั้งแต่เด็กเป็นที่หลบซ่อนตัว ณ ที่นี่เอง 3 พี่น้องเปิดศึกต่อต้านกองทัพนาซี แรกเริ่มพวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวให้รอด แต่แล้วความกล้าหาญของพวกเขาก็เริ่มเป็นที่เลื่องลือหนาหูขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ ที่พร้อมจะเสี่ยงเต็มที่ เพื่อได้สัมผัสกับอิสรภาพแม้เพียงเสี้ยววินาที ทูเวียจำใจอาสาขึ้นเป็นผู้นำ ขณะที่ซูส น้องชายของเขา เอาแต่ท้าทายสบประมาท เนื่องจากกังวลว่าแผนการแบบอุดมคติสุดขั้วของทูเวียนั้น จะนำความหายนะมาสู่พวกเขา ส่วนเอซเซลซึ่งเป็นน้องชายคนเล็กนั้นก็วางตัวลำบากเพราะตกอยู่ท่ามกลางพี่ชายสองคนที่ห้ำหั่นกันอย่างเผ็ดร้อนทั้งวาทะ และ การใช้กำลัง เมื่อฤดูหนาวอันเย็นเยือกค่อยๆ มาเยือน พวกเขาสร้างชุมชนคนกล้าได้สำเร็จ และพยายามรักษาพลังศรัทธาของหมู่คณะให้ยืนยง ในขณะที่มนุษยธรรมทั้งหลายดูเหมือนจะสิ้นสูญจนหมดแล้ว
Synopsis : In 1941, the Jews of Eastern Europe are being massacred by the thousands. Managing to escape certain death, three brothers Tuvia (Daniel Craig), Zus (Liev Schreiber) and Asael (Jamie Bell) take refuge in the dense surrounding woods they have known since childhood.There they begin their desperate battle against the Nazis. At first it is all they can do to stay alive. But gradually, as whispers of their daring spreads, they begin to attract others men and women, young and old willing to risk everything for the sake of even a moment's freedom.Tuvia is a reluctant leader and his decisions are challenged by his brother, Zus who worries that Tuvia's idealistic plans will doom them all. Asael is the youngest who caught between his brothers' fierce rivalry.As a brutal winter descends, they work to create a community, and to keep faith alive when all humanity appeared to be lost

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,1/20/2009 02:15:00 PM
Blue Sky of Love: ฟ้าใส ใจชื่นบาน
เราดูเรื่องนี้ที่ โรง EGV ลาดพร้าว รอบที่เราดูเป็นรอบเย็น ก็ถือว่า จำนวนคนดูมีพอสมควร ไม่มากไม่น้อย ถ้าเทียบกับจำนวนคนเฉลี่ยที่เราเคยเห็นในวันธรรมดา บางรอบ 5 คน บางรอบ 10 คน เอาเป็นว่า รอบละ 10 คนก็แล้วกัน ( จริงๆน้อยกว่านี้ แต่ประมาณการแบบสงสารโรงหนังหน่อยนึง )
ตอนแรกเราว่าจะซื้อ ปอปคอร์นเข้าไปกินด้วย เพราะตอนนี้มีโปรโมชั่นใหม่เป็นตัวการ์ตูน สีสันโดนใจ แต่ช่วงนี้ต้องพยายามข่มความอยากไว้ก่อนเพราะเศรษฐกิจเราไม่อู้ฟู่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว 555 เลยไม่เอาดีกว่า
ตอนแรกเราก็เข้าใจว่า หนังเรื่องนี้ สงสัยจะโหลยโท่ย เหมือนกับหนังที่ชอบเอาฉากตลกออกมาโฆษณษเรียกน้ำลายคนดูเหมือนเรื่องอื่นๆ พอเข้าไปดูจริง ปรากฎว่า ทั้งเรื่องไม่มีอะไรเลย ฉากตลกทั้งหมดก็คือฉากที่เอามาโฆษณานั่นแหละ แต่เรื่องนี้กลับไม่ใช่แฮะ เพราะเราหัวเราะได้ตลอดเรื่องเลย ถึงแม้จะไม่ก๊ากก็เหอะ ถือว่าสอบผ่าน นางเอกคนนี้เราไม่เคยเห้นหน้านะ หน้าคล้ายนุสบา แต่ดูสาวกว่า สดกว่า ฝีมือการแสดงถือว่า คาบเส้น ไม่แย่แต่ก็ไม่ดี แต่หน้าตาก็สวยดีแหละ เอาเป็นว่าสอบผ่านก็แล้วกัน
มาถึงพระเอกมั่ง พระเอกคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเล่นเรื่อง มหาลัยเหมืองแร่ มาก่อน เรื่องนั้นเราไม่ได้ด฿เลยไม่รู้จะพูดยังไง แต่เรื่องนี้ เราขอบอกว่า เล่นได้ธรรมดามากๆ แหม เราเองก็ไม่ใช่ดาราอ่ะนะ แต่เราพูดตามสิ่งที่สายตาคนดูเห็น หน้าตาถือได้ว่า ขี้เหร่ที่สุดในบรรดาพระเอกไทยทั้งหมดเลย เรื่องนี้จะว่าไป คนที่เด่นที่สุด น่าจะเป็นค่อมชวนชื่น ซึ่งถ้าเรื่องนี้ไม่มีค่อมนะ สงสัย ไม่รู้จะมาดูอะไร เพราะฉากไหนที่ค่อมโผล่ขึ้นมา รับประกันได้เลยว่าจะต้องได้เสียงหัวเราะ รองลงมาก็เป็น ฝันดีหรือฝันเด่นก็ไม่รู้ ( เนื่องจากเป็นฝาแฝดเราเลยแยกไม่ออก ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ) คนนี้ก็ตลกมากๆๆ เล่นคู่กับค่อมแล้วเข้าขากันดี ดูเลิ่กลั่กตลกดี หวังว่าจะได้เจอเล่นคู่กันอีกในเรื่องถัดไปนะ อีกคนที่ตลก ( พูดเรียงไปเลย คือ อ่าง แต่คนนี้เราดูไปก็ขำไม่ค่อยออกเพราะสงสารสังขาร เลยไม่รู้จะตลกหรือร้องไห้ดี เอาเป็นว่า เราก็ถือว่าตลกละกัน
นอกนั้น คนอื่นๆก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าประทับใจซักเท่าไหร่เลย ดูแล้วก็ธรรมดามาก อ้อ ที่ชอบอีกอย่างคือ เพลงประกอบ ไม่รู้ว่า ชื่อเพลงอะไร ไว้จะลองไปค้นในเน็ตดู เพราะดี คนร้องเสียงหวานเชียว นึกชื่อคนร้องไม่ออก ( พูดอย่างกับ รู้จักนักร้องสมัยใหม่มากมาย 5555 ไม่รู้จักใครเลย )
สรุป เรื่องนี้ ดูแล้วก็ใจเบิกบานตามชื่อเรื่องอ่ะนะ เสียอย่างเดียว ตอนจบเศร้าไปหน่อย ( จริงๆ ดูไปก็เดาได้อยู่แล้วล่ะว่าต้องจบแบบนี้ เพราะมุมกล้องแช่ภาพแบบนี้ มันเป็นสไตล์หนังไทยเลยว่า ต้องแบบนี้ เท่านั้น เลยทายถูกเลย ) รวมๆแล้วเราชอบนะ เราให้ 7.4 เป็นกำลังใจให้ทีมงาน
เนื้อเรื่องย่อ : เม็ดทราย (ร่มฉัตร ขำศิริ) คือหญิงสาวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างรุนแรง เธอกลายเป็นหนึ่งในคนไทยจำนวนมากในยุคนั้นที่เข้าไปผจญความยากลำบากในป่ากับพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อที่จะแสวงหาและสร้างสังคมในอุดมคติของเธอให้ได้ในป่าแห่งการแสวงหานั้น เม็ดทรายได้พบกับ ก้อง (พิชญะ วัชจิตพันธ์) จอบ (ค่อม ชวนชื่น) คิด (ฝันดี จรรยาธนากร) และ เสียม (อ่าง เชิญยิ้ม) เหล่าสหายที่ไม่ได้มีจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติ แต่ต้องตกกระไดพลอยโจนมาใช้ชีวิตอยู่ในพรรค ภายใต้การปกครองของ เที่ยง (สุรสิทธิ์ เอี่ยมโอภาสวงศ์) ชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งยังเป็นผู้ชายที่เม็ดทรายแอบชอบอยู่ด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของกระแสปฏิวัติที่ครอบคลุมไปทั่วพรรค ก้อง จอบ คิด และเสียม ช่วยกันสร้างความสนุกสนานและความปั่นป่วนขึ้น พวกเขาเปลี่ยนเสียงตะโกนปลุกใจเป็นเสียงหัวเราะเฮฮา และสั่นคลอนแนวทางของการปฏิวัติด้วยแนวทางของความตลก การกวาดล้างไล่ล่าของฝ่ายรัฐบาล ต้องยอมจำนนกับลีลาการหลบหนีสุดขบขันของพวกเขาทั้ง 4 นอกจากนี้แล้ว ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามราวภาพวาด ธารน้ำสวยใส ทิวเขาและไอหมอก ความรักที่บริสุทธิ์ก่อตัวขึ้นบนสมรภูมิแห่งสงคราม แม้ก้องจะเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรตรงกับอุดมคติของเม็ดทรายเลยแม้แต่น้อย แต่แล้วเขากลับเป็นคนที่แสดงให้เธอเห็นว่า ความสุขที่เธอแสวงหาด้วยความเหนื่อยยากนั้น แท้จริงแล้วมีอยู่ในตัวของเราทุกคนนั่นเอง
Synopsis : Set in October 1976, during a revolutionary period in Thai history, the drama-comedy Blue Sky of Love tells a story of a university girl who wished to follow her ideology in working for people. She left her comfortable living in Bangkok to participate with the army of communism party located in remote forest. There, she met new companions who utterly have different point of view in their lives. Among these people, the girl found a guy who stands for his strong ideology, and she started to admire him. This film delightfully brings humor through the story in the backdrop of war.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Monday, January 12, 2009,1/12/2009 01:03:00 AM
Aksra Theatre : อักษราหุ่นละครเล็ก
ไหนๆก็ไม่ได้เจอกับเพื่อนซี้สมัยเชียงใหม่มาตั้งนาน เราเลยขอเวลาทั้งวันในการทัวร์กรุงเทพซะเลย ว่าแล้วเราก็ชวนเพื่อนไปดู หุ่นละครเล็กที่ อักษราเธียเตอร์ ที่ตึก คิงส์เพาเวอร์ดีกว่า ใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาที จากรถไฟฟ้าสยาม มาที่ สถานี อนุสาวรีย์ชัย เดินนิดเดียว เราก็มาปรากฏตัวที่ตึก คิงส์เพาเวอร์ที่ถนนรางน้ำแล้ว
ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาเรา เป็นภาพตึกสมัยใหม่รูปร่างเมือนชามบะหมี่คว่ำหัว สวยดี เพราะว่า ใหม่และดูแปลกตามากๆ เป็นกระจกใสมองเห็นด้านใน ทำให้เห็นว่า โล่งมาก 555 เดินถัดไปอีกนิดก็เจอ ก็ ดิวตี้ฟรีขนาดใหญ่ แต่เรายังไม่สนใจ เพราะอยากขึ้นไปที่ชั้นสาม ตีตั๋วให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยลงมาเดิน ช๊อปปิ้ง ให้สบายใจ
กดลิฟท์ไปที่ชั้นสาม ออกจากลิฟท์มาหน่อยนึง เราก็ตลึงกับความสวยงามของ โรงละคร เป็นรูปยักษ์ขนาดใหญ่ สองตน ด้วยความด้อยปัญญาเราเลยไม่สามารถบอกได้ว่า ชื่ออะไรมั่ง สวยมากๆ ประดับกระจกดู ระยิบระยับสวยจริงๆ เราเดินถัดไปนิดนึงก็มีซุ้มขายตั๋ว ทำการสำรองที่นั่งเสร็จ เราก็เดินต่อไปเจอกับ ภัตตาคาร รามายนะ ซึ่งสวยอีกเหมือนกัน ดูดีมีชาติตระกูลมั่กๆ แต่เราคงไม่ได้กินวันนี้ เพราะเย็นแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจจะกินอะไร ตอนเที่ยงก็กินมาเยอะแล้ว ( จริงๆแล้ว มันแพง 555 )
เราลงไปเดินวางท่าเหมือนจะมาช็อปปิ้งที่ชั้นสอง เดินไปก็วิพากษ์วิจารณ์สินค้าเค้าไปอย่างคะนองปาก ตามประสาคนปากปีจอ พูดจนสินค้าเค้าเสียหายไม่มีดี พูดไปหัวเราะไปเหมือนคนบ้า ไปแผนกน้ำหอมเอาน้ำหอมมาลองจนตัวมีกลิ่นฉุนไปด้วยน้ำหอมสารพัดกลิ่น เดาว่า คงไม่ต้องอาบน้ำไปสามวัน เพราะหอมสุดขั้วจริงๆ กลิ่นหอมติดไปทั้งตัวหัวหู
เราหัวเราะจนถึงเวลา ใกล้ทุ่ม ก็ค่อยๆนวยนาดไปที่หน้าโรงละคร เฮ้ย มีการให้ลงทะเบียนเข้าชมด้วยเว๊ย อะไรมันจะหลายชั้นซับซ้อนขนาดนั้น เปลืองตงค์จ้างพนักงานโดยใช่เหตุ ( รึเปล่า คือเราไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม ) เรามองที่นาฬิกาข้อมือ นี่เพิ่งจะ 18.45 เอง ไม่ทันไรจากนั้นพนักงานเดินตั๋วก็เชิญให้เราเข้าโรงละครได้แล้ว ด้วยความเห่อ เราก็รีบวิ่งแจ้นขึ้นไปทันที แต่แบบรักษาภาพนิดนึง ไม่งั้นจะเหมือนกะเหรี่ยงอีก แต่ในใจลิงโลดพองฟูยิ่งนัก 5555 เราสะกิดเพื่อนให้ดูทางซ้าย ทางขวา อะไรๆ ดูมันสวยงามเจริญหูเจริญตาไปซะทุกอย่าง โน่นก็ทอง โน่นก็เพชร พูดไพล่ไปถึง ว่า คุณ วิชัย รักษ์ศรีอักษรแกรวยเนอะ เนรมิตได้ขนาดนี้ ทึ่งจริงๆ ทางขึ้นโรงละครค่อนข้างสูง เป็นทางเดินธรรมดา ไม่ได้ตกแต่งอะไร แต่ของประดับที่อย่ที่ห้องโถงตะหากที่ทำให้ ตาลุก มีตู้โชว์หุ่นสวยงามมาก ใส่เสื้อผ้าชาติต่างๆ ประดับกระจกสี หรือ พลอยก็ไม่รู้ดูไม่เป็นอยู่บริเวณทางเข้า ขนาดเท่ากับเด็กทารก ดูสวยและขลังในเวลาเดียวกัน
เราเข้าไปนั่งในโรงตามที่นั่งที่เค้าจัดให้กลางโรงด้านหน้า โรงละครไม่ใหญ่ไม่เล็ก ประกับด้วยไม้แกะสลักรูปเทวดานางฟ้า ทั้งปีกซ้ายขวา เต็มผนังไปหมดเลย เราเห็นเวที ตรงกลางมีช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เจาะเอาไว้ คงเอาไว้ให้ นักแสดงลอยขึ้นลอยลงอย่างที่เราเคยเห็นในทีวี เราบอกเพื่อนเราว่า เนี่ยเห็นโรงละครนี้แล้วทำให้นึกถึง กาดสวนแก้วเธยร์เตอร์ที่เชียงใหม่เนอะ พูดแล้วก็เศร้า 5555 หัวเราะทำไมเนี่ย
ซักพัก เสียงเพลงก็ดังขึ้นตอน 19.00 เป๊ะ เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เล่นโดยวงออเคสตร้า เครื่องดนตรีไทยผสมกับฝรั่ง ไพเราะมากมาย คนเล่นเป็นวัยรุ่น ชายหญิง แต่ฝีมือ โอเคมากก เพราะสุดจะประมาณ คนตบมือกันเกรียวกราวลืมบอกไปว่ามีคนดู ไม่มากเลยซัก30 คนเห็นจะได้ คนไทยซัก 70 % ฝรั่ง 30% ดูโหรงเหรงแต่ก็ดีแล้วล่ะไม่ชอบคนเยอะ
จบเพลงสรรเสริญฯ ก็มีเสียงพิธีกรหญิง กล่าวแนะนำการแสดงจำได้ว่าเป็นเสียงคุณ ศันสนีย์ นามสกุลฝรั่งอะไรซักอย่าง ที่พูดภาษาอังกฤษ เก่งๆ พูดเพราะเสียงใส อธิบายการแสดงให้ฟังทั้งภาคไทยและอังกฤษ
การแสดงชุดแรกเป็นระบำครุฑ แค่ชุดแรกก็หันไปกระซิบกับเพื่อนแล้วว่า โอ้โฮ ทึ่ง ตะลึงตึ๊งตึง สุดๆ เหมือนมีชีวิตจริงๆ เป็นหุ่นครุฑประมาณ 7 ตน มาบินบนเวที ถ้าเราไม่มองคนเชิด เราก็จะเห็นว่าครุฑบินอยู่จริงๆ สวยงามมาก คำที่ว่า เหมือนมีชีวิตเนี่ย เกิดมาเราไม่เคยพูด เคยแต่ได้ยินคนพูด วันนี้เราได้เป็นคนพูดเองแล้ว และรู้สึกว่า ไม่เกินความจริงเลย หุ่นแต่ละตัวใช้คนเชิดสามคน เพราะฉะนั้น คนเต็มเวทีเลย
การแสดง หุ่น จบ หนึ่งชุด ก็จะมีดนตรีบรรเลงหนึ่งเพลงสลับกันไป บางครั้งก็จะมี คนจริงๆออกมาฟันดาบ กระบี่กระบองให้ดู ( พูดจริงๆนะ เราดูจนเบื่อแล้วที่ไหนก็มี อยากดูหุ่นอย่างเดียวมากกว่า สวยมากๆๆๆๆๆ ) การแสดงใช้เวลา หนึ่งชั่วโมงพอดิบพอดี ตอนจบเค้าให้หุ่นออกมาเล่นกับคนดูด้วย แต่เราไม่ได้เล่น เพราะเราไม่ถนัดเล่นกับหุ่นอ่ะ ถนดเล่นกับคนมากกว่า 5555
สรุป เอาไปเลย 10 เต็ม ชอบทุกอย่าง ทั้งการแสดง ทั้งคนเชิดที่เป้นกันเองกับคนดูมากกก น่ารักมาก ทั้งคนทั้งหุ่น มีการพูดแซว หุ่นเป็นธรรมชาติมากจนบางขณะเราคิดไปเองว่ามันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ เพลงเพราะดนตรีมันส์ ไม่รู้จะพูดยังไง มันดีไปซะทุกอย่างเลย ถ้าไม่ได้มาดูนี่เสียชาติเกิดจริงๆ

ฉากที่ ๑ ระบำครุฑ : จาก พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่๑ สู่ระบำเทิดพระเกียรติสุดตระการตาด้วยเทคนิคแสง สี เสียง ผสานท่วงท่าร่ายรำอันงามสง่าของเหล่าครุฑ ที่ร่วมอำนวยพรชัยให้ผู้รับมีความยิ่งใหญ่ มั่นคง แข็งแรง ตลอดกาล
ฉากที่ ๒ กินรีร่อน : วรรณกรรม ตอนหนึ่งในเรื่องมโนราห์ ด้วยกระบวนท่ารำที่มีความวิจิตรสวยงาม และด้วยอาภรณ์ของเครื่องแต่งกายที่ประณีตบรรจง อักษราหุ่นละครเล็กจึงดัดแปลงให้การแสดงดูร่วมสมัยยิ่งขึ้น แต่ยังยึดแนวทางการร่ายรำและบทเพลงไว้คงเดิม เพิ่มเติมความเป็นสากลด้วยเครื่องดนตรีสากลที่ร่วมบรรเลงตลอดการแสดง
ฉากที่ ๓ ยกรบ : ถ่าย ทอดความยิ่งใหญ่แห่งวรรณคดีอมตะเรื่องรามเกียรติ์ เมื่อพญายักษ์ทศกัณฐ์จัดทัพเข้าประจัญบานกับฝ่ายพระราม แต่กลับโดนพระรามใช้ศรตีเจ็บปวดเจียนตายจนพ่ายแพ้ ต้องเลิกทัพกลับนครลงกาในที่สุด
ฉากที่ ๔ ระบำญี่ปุ่น : หยิบ จินตลีลาจากแดนอาทิตย์อุทัยเคล้าบทเพลงสุดคลาสสิก โจโจ้ซัง มาเพิ่มสีสันให้เวทีหุ่นละครเล็ก สร้างสรรค์ระบำหุ่นด้วยฉาก แสง สี เสียงที่ยิ่งใหญ่ในแบบฉบับเจแปน
ฉากที่ ๕ กลองยาว โปงลาง : ผู้ แสดงร่วม ๔๐ ชีวิตเนรมิตความหรรษาของเทศกาลดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง(กลองยาว) ประชันดนตรีพื้นถิ่นภาคอีสาน(โปงลาง) สนุกสนานไปกับการแสดงอันครึกครื้นของเหล่าหุ่นละครเล็ก นักดนตรีพื้นบ้านที่เยื้องกรายขับขานในท่วงท่าลีลาดังต้องมนต์มีชีวิต
รอบการแสดง อังคาร – ศุกร์ : 19.00 น. เสาร์ – อาทิตย์ 13.00 น. และ 19.00 น.
Aksra Hoon Lakorn Lek
Promoted as a showcase of Thailand’s cultural and dramatic heritage, the newly-opened Aksra Theatre proudly presents exquisite performances of traditional Thai puppetry thereby helping to support and preserve this dying art form for future generations.
Presented under the name, Aksra Hoon Lakorn Lek, the Thai puppetry shows have been added to the theatre’s regular programme from July 2008 onwards. Aksra Theatre is situated on the 3rd Floor of the King Power Complex on Rangnam Road.
Aksra Hoon Lakorn Lek is performed by a budding new troupe of traditional Thai puppeteers that have learned the art of traditional Thai puppetry by Thailand’s legendary puppet master, Mr Sakorn Yangkhiawsod, one of Thai kingdom’s distinguished National Artist in the Performing Arts.
Aksra Hoon Lakorn Lek preserves the original form and style of the puppet play using finer and more complex techniques than most puppet dramas. Each puppet requires the synchronized efforts of three puppeteers who control the puppet’s spindle, arms and legs to produce highly animated and life-like movements. The synchronized gestures are gracefully performed.
Aksra has created more than 110 traditional Thai puppets for 10 different stories. The troupe has also created a spectacular show by incorporating short scenes from a selection of stories that are presented as a medley.
Elaborate scenes relate stories taken from the Ramakien epic, Japanese and Korean songs and lively Thai folk dance. The performance also features Wong Chongkraben, an orchestra consisting of traditional Thai musical instruments as well as universal ones.
In the realm of contemporary cultural performances, the dramatic theatrical scenes combined with stage techniques renders Aksra’s colourful and spectacular presentation of traditional Thai puppetry is outstanding and quite unique.
Aksra Theatre
Located in the middle of Bangkok, Aksra Theatre is a medium size theatre with 600 seats. Inspired by Baroque style, Aksra Theatre is embellished with the majestic decoration that draws its essence from Thai traditional art and interior. Aksra Theatre provides a fully and advanced equipped stage that can host spectacular performances and events. Attached to Aksra Theatre are Scene Shop, a souvenir shop, and Scene Bar, a bar with a panoramic terrace.
Aksra Theatre is part of the King Power Complex duty-free shopping centre, the Ramayana international buffet and “Pullman Bangkok Kingpower, a five-star hotel property.King Power Duty Free recognizes the importance of the Thai puppets and has granted support to preserve this rare traditional art form for the benefit of future generations.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments