Tuesday, December 30, 2008,12/30/2008 05:06:00 AM
Madagascar( Escape 2 Africa) : มาดากัสการ์ 2 ป่วนป่าแอฟริกา
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราไปดูหนังเรื่องนี้ จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน รู้แต่ว่า เราได้รับแจกสติกเกอร์ด้วย แล้วเราก็เอาสติกเกอร์ที่ว่าไปติดที่บัตร Starbucks ของเรา เวลาที่เราเอาไปใช้ซื้อกาแฟ พนักงานชมใหญ่เลยว่า บัตรรุ่นนี้สวยดีเนอะพี่เนอะ เราแอบยิ้ม แล้วก็บอกพนักงานไปว่า อ๋อ ที่น้องเห็นนั่น พี่เป็นคนติดเองแหละ ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะ เรามีบัตร Starbucks หลาบใบ เราจะได้จำได้ว่า บัตรไหนเหลือตังค์เท่าไหร่แล้ว ไม่งั้นหน้าตาบัตรมันเหมือนกันหมดเลย
มาปีนี้ เราก็ไปดูที่ เอสเอฟ เหกมือนเดิม นั่นแหละ เพราะเราดูในหนังสือพิมพ์แล้ว เห็ฯว่า โรงนี้มีฉายระบบดิจิตอลด้วย แต่ว่า พอเรามาซื้อตั๋วจริงๆ พนักงานบอกว่า โรงนี้ไม่ได้ฉายดิจิตอลนะคะ เอ้า ไหนๆก็ผิถึงป่าช้าแล้ว ดูก็ดู
คนดูมีมากมายอย่าที่คิด เนื่องจากเป้ฯโรงหมายเลข 12 ซึ่งมีที่นั่งแค่ 120 ที่นั่งเห็นจะได้ โรงเล็กหน่อย แต่ก็ดูน่ารักดี นึกในใจว่า ทำไมฉายโรงเล็กอย่างนี้วะ สงสัยหนังไม่หนุกมั๊ง
ที่ไหนได้ พอเปิดฉากเท่านั้น ก็เรียกเสียงฮาจากคนดู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ ได้ตลอดเวลาเลย ( เสียออย่างเดียว เราเคยชินกับ ระบบดิจิตอล เลยรู้สึกว่า เรื่องนี้ภาพไม่ค่อยชัด แต่ก็พอดูได้) เรื่องนี้เป็นตอนต่อจากภาคที่แล้ว (ไม่รู้นะ เราว่า ภาคแรกเราดูแล้วก็งั้นๆ แแต่พอมาดูภาคนี้ ทำไมมันตลอกแบบนี้ก็ไม่รู้ ) สงสัยต้องกลับไปเอาภาคแรกมาดูใหม่แล้วมั๊งว่า ทำไม เราถึงดูรอบแรกแล้วไม่หนุก
หนังน่ารักมากกกกกกกกกก ตัวการ์ตูน ฉากเฉิก สีสวยหมดเลย ดูแล้วเพลิดเพลินเจริญใจเป็นยิ่งนัก ไม่รู้จะบรรยายยังไง เอาเป็นว่า ดูแล้วอยากดูอีก
สรุป ตัวการ์ตูนที่ชอบ ก็มียายแก่ ตัวที่นักเลงๆหน่อย ถ้าขาดตัวนี้ไป หนังจ๋อยเลยนะเราว่า 5555 นึกแล้วยังอดขำไม่ได้ ส่วนตัวสิงโต พระเอกนั่น ก็ชอบ ทรงผม ดูแล้วขำกลิ้งทันทีเลย จี้ดีจริงๆ ไม่รู้ละ เราว่าเป็นการ์ตูนที่ตลกที่สุดในปีนี้เลย เรื่องนี้เราก็ให้ 8.7 เลย

เรื่องย่อ : หลังจากที่ สิงโตอเล็กซ์ (เบน สติลเลอร์) ม้าลายมาร์ตี (คริส ร็อก) ยีราฟเมลแมน (เดวิด ชวิมเมอร์) ฮิปโปกลอเรีย (จาดา พิงเกตต์ สมิธ) คิงจูเลียน (ซาชา บารอน โคเฮน) มอริซ (เซดริก ดิ เอนเทอร์เทนเนอร์) และพลพรรคเพนกวิน ถูกทิ้งบนชายฝั่งเกาะมาดากัสการ์ที่ห่างไกลอารยธรรม เหล่าสัตว์จากนิวยอร์กร่วมกันวางแผนการที่เพี้ยนสุดๆ เหล่าเพนกวินลงมือซ่อมเครื่องบินเก่าๆ ที่ตกลงมาบนเกาะ แล้วในที่สุด เครื่องบินก็พาพวกเขาไปยังผืนแผ่นดินแอฟริกาที่กว้างใหญ่ไพศาลที่แอฟริกา พลพรรคจากสวนสัตว์ได้พบกับเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นครั้งแรก ได้ค้นพบรากเหง้าของตัวเอง และได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างป่าคอนกรีตและใจกลางป่าแอฟริกา แม้ว่าจะมีทั้งญาติพี่น้องที่เพิ่งพานพบ คู่แข่งด้านความรัก และนายพรานจอมวางแผน แอฟริกาก็ดูเหมือนจะเป็นสถานที่สุดวิเศษ แต่มันจะดีกว่าบ้านของพวกเขาที่เซ็นทรัลปาร์กจริงหรือ
Synopsis : Alex, Marty, Melman, Gloria, King Julien, Maurice and the penguins and the chimps find themselves marooned on the distant shores of Madagascar. In the face of these obstacles, the New Yorkers have hatched a plan so crazy it might just work. With Military precision, the penguins have repaired an old crashed plane-sort of. Once aloft this unlikely crew stays airborne just long enough to make it to the wildest place of all-the vast plains of Africa, where the members of out zoo-raised crew encounter species of their own kind for the very first time. Africa seems like a great place..but is it better than their Central Park home? Alex the lion (Ben Stiller), Marty the zebra (Chris Rock), Melman the giraffe (David Schwimmer), Gloria the hippo (Jada Pinkett Smith), King Julien (Sacha Baron Cohen), Maurice (Cedric the Entertainer) and the penguins were left marooned on the distant shores of Madagascar, the New Yorkers have hatched a crazy plan. The penguins have repaired an old crashed plane. Then they all fly to the vast plains of Africa.The zoo-raised crew encounters species of their own kind for the very first time. While discovering their roots, they quickly realize the differences between the concrete jungle and the heart of Africa. Despite long-lost relatives, romantic rivals and scheming hunters, Africa seems like a "crack-a-lackin" great place... but is it better than their Central Park home?

Labels: , , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,12/30/2008 04:53:00 AM
Super Hap : ซูเปอร์ แหบ-แสบ-สะบัด
เราไม่นึกมาก่อนเลยว่า ฟิล์มจะแสดงหนังได้ดี ดูสนุกขนาดนี้ นึกว่าจะหล่ออย่างเดียว จริงๆแล้ว เราตั้งใจจะดูหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะว่า ตอนดูโฆษณาก็อยากดูมากๆเลย รู้สึกว่า หนังเรื่องนี้น่าจะสนุก
ไม่พูดพล่ามทำเพลง เราตึตั๋วไปดูหนังเร่องนี้ที่ เอสเอฟ บางกะปิ เจ้าเก่า คนดูต้องขอบอกว่า ไม่น้อยเลย เกือบครึ่งโรง นี่ขนาดรอบเช้า รอบแรกเลยนะเนี่ย
ขอบอกว่า หนังดูสนุก เนื้อเรื่องแปลกและสนุกดี ดูไม่เบื่อเลย มีลุ้นตลอดด้วยว่า พระเอกจะถูกจับได้หรือเปล่าว่า ไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง อย่างที่แฟนเพลงเข้าใจ แต่หนังก็หักมุขตอนจบให้พระเอกผ่านสถานการณ์ต่างๆ แบบ Happy Ending ดูไปก็ทั้งขำทั้งซึ้งกับบทบาทที่ทั้งหอย และ ฟิล์มแสดง
โดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบหอยเท่าไหร่ เพราะลุคดูค่อนข้างสกปรก แต่พอมาดูเรื่องนี้จบ ความไม่ชอบก็ไม่ได้ลดลงหรอก แต่ก็รู้สึกดีขึ้นว่า เออ เล่นเก่งเหมือนกันนะเนี่ย แล้วก็ถ้าไม่เอาหอยมาแสดง ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า จะเอาใครมาแสดงให้ดูเน่าๆได้ขนาดนี้
เราดูหนังเรื่องนี้จบลง ด้วยความรู้สึกดีดี ที่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งความซึ้งใจในมิตรภาพ และ มุขขำๆที่มีตลอดเรื่อง เราว่า เป็นหนังที่นาดูที่สุดเรื่องหนึ่งก่อนส่งท้ายปีนี้เลย เพลงก็เพราะด้วยนะ เกือบลืมบอกไป คิดว่า ถ้าจะดูอีกรอบก็คงไม่เกินไปหรอก หนังน่ารักดูซ้ำได้ เรื่องนี้ เราให้ 8.8 เลย
เนื้อเรื่องย่อ : ท่ามกลางกระแสเพลงเกาหลีมาแรง ค่ายเพลงที่ใกล้ปิดกิจการของ เจ๊เง็ก (เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์) รีบส่งศิลปินหนุ่มลูกผสมไทย เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมัน นามว่า ตงลีเฮ ออกสู่ตลาด ตงลีเฮเป็นนักร้องหนุ่มสุดสมบูรณ์แบบ ทั้งหน้าตาที่หล่อเหลาและเสียงร้องที่มหัศจรรย์ แค่ซิงเกิลแรกก็ขึ้นอันดับหนึ่งทุกสถานี ดังระเบิดไปทั่วประเทศ
ตัวตนที่แท้จริงของ ตงลีเฮ คือหนุ่ม 2 คนที่มาทดสอบเสียงร้องกับค่ายของเจ๊เง็ก นั่นคือ ต้อม (รัฐภูมิ โตคงทรัพย์) ที่ดูหล่อใสแบบศิลปินเพลงป๊อป กับ ตึ๋ง (เกียรติศักดิ์ อุดมนาค) หนุ่มที่หน้าไม่ให้ แต่มีใจรักด้านการร้องเพลง ทั้งเจ๊เง็กและเลขาที่ชื่อ สาลี่ (ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) ต้องช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ของตงลีเฮให้ดูนิ่งขรึม ไม่พูดไม่จา
หลังจากนั้น ตึ๋งได้พบกับ อิ๋ว (อชิตะ ธนาศาสตนันท์) สาวช่างฝันผู้ก่อตั้งแฟนคลับของตงลีเฮ ตึ๋งมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อได้คุยกับอิ๋ว เพราะอิ๋วเป็นแฟนเพลงที่เข้าใจบทเพลงของตงลีเฮอย่างลึกซึ้ง และเห็นคุณค่าของเสียงเพลงมากกว่าหน้าตา ขณะเดียวกัน ต้อมก็พบรักกับ แก้ว (คุณัชญา ชัยรัตน์) เด็กฝึกงานผู้มีบุคลิกลึกลับ แต่ต้อมต้องพยายามเก็บอาการไม่ให้แก้วรู้
กระแสนิยมของตงลีเฮ ทำให้ อ้อย (ศิริพร อยู่ยอด) เหยี่ยวข่าวสาว และ ลูซี่ เลเซอร์เจท (อาภาพร นครสวรรค์) นักร้องคู่แข่งที่ตกเป็นหมายเลข 2 รวมทั้งแฟนเพลงทั่วประเทศ พากันจ้องจับผิดตงลีเฮอยู่ตลอดเวลา ทั้งต้อมและตึ๋งต้องช่วยกันเอาตัวรอดจากการเจาะข่าว แล้วความรักและความลับของทั้งคู่จะอยู่รอดปลอดภัยไปได้นานสักแค่ไหน
Synopsis : As Korean fever is now very trendy in Thailand, two guys are put together to form a Korean style boy band, dream to make a big break in music industry.Tom and Teung are buddies who wish of being an artist. Tom has the look and dancing skill, but his husky voice seems to be the huge trouble. While Teung has no idol image and dancing skill at all, but he's got the voice. The record company finds a tricky way to make Tom as a new idol and Teung becomes the back-up voice while Tom is lipsyncing on the stage. Their first single hits the charts and they become extremely popular over the country. As their popularity is raising and everyone is keen to know them better, they have to keep the secret; the truth about the voice behind the stage.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Tuesday, December 23, 2008,12/23/2008 03:51:00 AM
Pride and Glory : คู่ระห่ำผงาดเกียรติ
เห็นดาราที่แสดงแล้วอยากดู ทั้ง โคลิน ฟาเรล แล้วก็ เอดเวิร์ด นอตัน ก็ถือว่า เป็นแม่เหล็กพอสมควร สำหรับหนังเรื่องนี้ เสียดายไม่มีโรง ดิจิตอลให้ดูที่ SF หรือที่อื่นๆ ก็ไม่มีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไม
คนในโรงก็ไม่มาก น่าแปลกใจจริงๆ แต่พอได้ดูถึงได้รู้ว่า ไม่น่าแปลกใจเลย หนังออกมาเป็นแนวตำรวจเลว ที่อาศัยชุดตำรวจในการทำอาชิพสกปรกเกี่ยวกับ การไถเงินและมีส่วนเกิ่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด แหม เนื้อเรื่องประมาณนี้ เราดูมานักต่อนักแล้ว แต่เรื่องนี้ ดันเอา โคลิน มาแสดงเป็นตำรวจเลว ก็เลยน่าดู แล้วก็เหมาะมากๆ เพราะรู้สึกว่าตัวจริงก็เถื่อนเหมือนในหนังด้วยนะ แล้วก็ เอ็ดเวิร์ด มาเล่นเป็นนักสืบที่แสนดี สุดท้ายก็ต้องมาปราบ พี่น้องตัวเองที่เป็นคนเลว เราว่า พล็อตคล้ายๆหนังจีนนะ ว่ามั๊ย
หนังทำได้สมจริงมากๆ มีบางตอน ที่ใช้วิธีการถ่ายทำแบบถือกล้องวิ่งตาม ซึ่งเรากลัวจริงๆเลย เพราะว่า เราจะปวดหัวกับภาพที่เต้นขึ้นลงแบบนี้มากๆ ดูแล้วจะอ๊วกให้ได้ โชคดี ที่ไม่มีอย่างนั้นนาน ไม่งั้นเราตายแน่ๆเลย ไอ้อาการเมากล้องนี่เราแก้ไม่หายจริงๆ
เนื้อเรื่องมันค่อนข้างโหดนะ แล้วก็มีเลือดกระจายเป็นระยะๆ เดิ๋ยวก็มีฉาก จะเอาเตารีดนาบหน้าเด็กทารกด้วย ดูแล้ว เราไม่สบายใจเลย รวมๆแล้ว มีฉากรุนแรงเยอะเกินไป บอกไม่ถูกอ่ะ คือ เราไม่ได้แอนตี้ หนังบู๊นะ แต่ที่เราชอบดูนี่ มันจะแฟนตาซึนิดๆ แบบเจมส์บอนด์ แบบโชว์ท่าทางมากกว่าที่จะเน้นเลือดๆ แบบนี้ ดูแล้ว สะอิดสะเอียน
สรุป ทั้งเรื่องเราต้องมานั่งทนกับอาการกระอักกระอ่วนใจกับภาพที่ไม่น่าดูตลอดเรื่อง ดาราแสดงดี แต่เนื้อเรื่องงั้นๆ สงสัย ตั้งใจจะมาเน้นเกี่ยวกับความสมจริงมากเกินไป เลยลืมเรื่องเนื้อหา อีกอย่างที่ไม่ค่อยชอบก็คือ โทนสีของเรื่อง มันมืดทั้งเรื่องเลย ( อันนี้ ความไม่ชอบส่วนตัว ) ไม่รู้จะคอมเม้นท์อะไร รวมๆแล้วไม่ชอบอ่ะ เอาไป 5.3
เนื้อเรื่องย่อ : โคลิน ฟาร์เรล และ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ร่วมแสดงนำใน "Pride and Glory" หนังทริลเลอร์ /อาชญากรรม ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้น,ดุเดือด และความบีบคั้นทางอารมณ์ ในการตีแผ่ให้เห็นถึงด้านมืดของกรมตำรวจในกรุงนิวยอร์ค โดยหนังได้เล่าเรื่องถึงตระกูลตำรวจที่ต้องถูกทดสอบเรื่องของจรรยาบรรณ เมื่อเรย์ (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) ได้ทำการสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับจิมมี่ (โคลิน ฟาร์เรล) ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของเขา มันก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือก ระหว่างความจงรักภักดีต่อสถาบันตำรวจ หรือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว และการไขคดีนี้ มันก็อาจจะเป็นการเปิดกล่องแพนโดร่า ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ทั้งกรมตำรวจต้องสั่นคลอน แต่อาจจะทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกสลาย "Pride and Glory" ยังอุดมไปด้วยดาราชั้นนำมากมาย รวมถึงจอห์น วอย และ โนอาห์ เอ็มเมอริท ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย กาวิน โอคอนเนอร์ (จาก Miracle) ซึ่งมาจากบทภาพยนตร์ของ โอคอนเนอร์ และ โจ คาร์นาฮาน (จากหนังเปิดโปงตำรวจชั้นดีเรื่อง Narc) Synopsis : Edward Norton and Colin Farrell star in "Pride and Glory," an authentic,gritty and emotional partrail of the New York City Police Departmaint. The film follows a multi-generational police family whose moral code is tested when one of two sons on the force investigates an incendiary case involving his older brother and brother in law . The case force the family to choose between their loyalties to one another and their loyalties to the department. "Pride and Glory" also features an ensemble cast that includes Jon Voight and Noah Emmerich. It is directed by Gavin O'Connor from a screenplay by O'Connor & Joe Carnahan. Story by Gavin O'Connor Gregory O'Connor & Robert Hopes. It is scheduled for a March 14 th , 2008 release.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,12/23/2008 03:37:00 AM
Happy Birthday : สัญญาน่ะว่าจะดูแลกัน...ตลอดไป
ตอนที่เราไปดูหนัง มักจะมิตัวอย่างหนังโฆษณษมาฉายให้ดูเป็นน้ำจิ้มก่อน Happy Birthday เป็นเรื่องหนึ่งที่มีฉาก ติดตา ตอนที่ รถที่นางเอกขับมาโดนรถเมลล์ชนลากไปตามถนนเสิยงโครมดังมาก จำได้ว่า ตกใจมากๆกับเสียงและภาพที่เห้ฯปรากฏต่อหน้า ฉากที่ทำให้เราน้ำตาเล็ดอีกฉาก ก็คือตอนที่อนันดา ถาม นางเอกว่า เราดิพอหรือยัง ที่จะเป็นแฟน ตัดสินใจได้ไม่ยากเลยวา เรื่องนี้ ต้องดู เพราะนี่ขนาดหนังตัวอย่าง ยังทำให้น้ำตาไหลได้ ของจริงต้องยิ่งกว่านี้แน่
เราดูเรื่องนี้ ที่ SF เพราะตั๋วฟรียังเหลืออยู่ แถม เขายังแจกซีดีประกอบหนังด้วยแผ่นนึง คุ้มไปเลย รอบที่เราดูมีคนดูไม่เยอะเท่าไหร่ ซัก 20 คนเห็นจะได้ นั่งกระจายไปเป็นคู่ๆ
หนังเปิดฉากมาด้วยความน่ารักของเนื้อเรื่อง น่ารักจริงๆนะ ไม่ได้แกล้วพูด ไม่รู้คิดได้ไง ที่พระเอกใช้ หนังสือในร้านขายหนังสือเป็นสื่อ ในการรู้จักกัน ไอเดียเก๋กู๊ดสุดๆ เสียอย่างเดียว นางเอกไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เลย แต่ก้น่ารักดี ( ยิ่งดูยิ่งคิดถึงนางเอกเรื่อง หลวงพระบาง คนนั้น น่ารักมากก ) แต่จากการที่เราได้ดูหนังตัวอย่างมาแล้ว เาก็เลยเดาเรื่องได้ไม่ยาก ว่าหนังต้องกานำเสนออะไร ก็ไม่ต้องคิดมากเลย ดูไปเรื่อยๆ ถึงฉากไหนที่ทำให้เราตกใจ เราก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เลยไม่ตกใจเท่าไหร่ ดูไปถึงตอนที่ พระเอกเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้นางเอก แล้วก็สะท้อนใจ เออ เว๊ย โคตรรักกันเลย เป็นเราๆจะทำได้มั๊ยวะเนี่ย หรือถ้าเรานอนเป็นผักอยู่อย่างนั้น จะมีใครมาดูแลเราขนาดนี้มั๊ยวะ เฮ้อ
แต่แปลกใจ แล้วก็ ช็อกระครกัน เมื่อตอนจบ โผล่หน้านางเอกตอนแก่ออกมา จับมือกันกะหนุงกะหนิง กับพระเอก นั่งดูดาวกัน แล้วก็งง อ้าวตกลงมันไม่ตายหรือวะ แล้ว มันหายหรือว่ายังไงแน่ เพราะตอนจบที่โผล่หน้ามานี่ ไม่หือไม่อือนะ แต่จับมือได้ เลยไม่แน่ใจว่า ตกลง สถานภาพของนางเอกเป็นไงแน่ เปฌนปริศนาน่าพิสูจน์
สรุป เป็นหนังรัก อีกแนว ที่ไม่ได้ครองรักอย่างหวานชื่น แต่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่โคตรเสียสละ ดูแลกัน อย่างกับพ่อเลี้ยงลูกอ่อน ดูแล้วเศร้า แต่น้ำตาไม่ยักไหลพรากๆอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกนะ สารภาพว่ามีแหมะออกมามั่ง แต่แค่ หยดสองหยด ไม่ฟูมฟายอย่างที่ตั้งใจไว้ เสียดายจัง ภาพในเรื่องสวย โดนใจสุดๆ หลายฉาก อย่างวิวตรงที่นางเอกไปนั่งวาดรูปนั่นก็สวยมาก ผิวน้ำมีไอลอยบางๆอยู่ด้วย แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนเลย แล้วก็ฉากใส่เสื้อผ้าแต่งงานก็น่ารักดี ได้ยิน พงษ์พัฒน์บอกว่า ไปถ่ายที่แม่ฮ่องสอน ตอนเราไป ไม่ยักเห็น เรื่องนี้ จะมีเด่นก็ตรงไอเดียหนังสือ ฉาก วิวต่างๆ แล้วก็ เพลง ที่เหลือ ก็ธรรมดา ไม่มีอะไร โดเด่น อนันดาก็เล่นดี ตอนน้ำตาไหลดูแล้วน่าสงสาร แต่ตอนแก่ ดูไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ รวมๆเราว่าหนังทำได้โอเค ยกเว้น ตอนกลางเรื่องไม่ค่อยมีเนื้อหาเท่าไหร่ มีแต่ถ่ายให้ดูตอนที่ดูแลนางเอก เลย น่าเบื่อไปนิด รวมๆเราให้ 7.4 เหมือนกัน

เนื้อเรื่องย่อ เรื่องนี้โฆษณาว่าเป็นหนังรักในแบบ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ของขวัญจากคนมือบอน 2 คน กับความรักในแบบของพวกเขา เป็นเรื่องราวความรักของชายหนุ่ม "เต็น" (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) และหญิงสาว "เภา" (ฉายนันทน์ มโนมัยสันติภาพ) ที่บุพเพสันนิวาสชักนำให้พวกเขาได้มารู้จักกันผ่านตัวหนังสือ ในหนังสือท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยข้อความที่ถูกเขียนส่งต่อให้กันและกัน โดยที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่พบหน้ากัน แต่มันกลับกลายเป็นสื่อกลางที่ทำให้คนมือบอน 2 คนได้มาพบและรู้จักกัน "จีบได้เปล่า? คิดจะจีบเค้าน่ะ ดีพอแล้วเหรอ" คำถามที่ "เภา" ทิ้งไว้ให้ "เต็น" ในระหว่างที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังคืบหน้าไปอย่างช้า ๆ กระทั่งถึงวันครบรอบวันเกิดของ "เต็น" ในขณะที่"เภา" ได้เดินทางนำของขวัญวันเกิดมามอบให้แก่ "เต็น" แต่ว่าของขวัญชิ้นนั้นกลับไปไม่ถึงมือของ "เต็น" มีเพียงข้อความที่ "เภา" เขียนทิ้งไว้ในการ์ดอวยพรวันเกิดให้กับ "เต็น" ว่า "สัญญานะว่าจะดูแลกันตลอดไป..." และนี่คือจุดเริ่มของการพิสูจน์คำสัญญาที่ "เต็น" มีต่อ "เภา"


Synopsis : Destiny has brought Ten and Pao to meet through a story in touring book at a bookshop. Though they haven't seen each other yet, the letters in the book was written and sent to both of them. Til one day, when they meet by chance, the acquaintance they've made through the book begins to blossom and develop their love. They vow not to be apart from one another no matter what would come. There's a twist when Ten doesn't get his birthday present that Pao sends to him, but he still holds on to the vow that one day they'll be together forever.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,12/23/2008 03:23:00 AM
Tokyo Sonata : วันที่หัวใจซ่อนเจ็บ
จะว่าไป หมู่นี้เราก็ไม่ค่อยจะได้มาโรง House บ่อยซักเท่าไหร่ ก็เนื่องมาจากไม่ค่อยมีหนังใหม่เข้านั่นเองแหละ ไม่ใช่อะไร จริงๆแล้ว เรื่อง Tokyo Sonata อยู่ในรายชื่อหนังที่เราอยากดูหลังปีใหม่นะเนี่ย แต่ว่า แหม ไหนๆก็ไม่ได้ไปดูนานแล้ว เอาเถอะ มาดูก่อนปีใหม่ก็ได้น่า ( จริงๆ อยากมาดูอยู่แล้วล่ะ )
ก่อนจะถึงโรงหนัง เราก็วางแผนไปกินอาหารแปลกๆซักนิดนึง ที่ เอกมันซอย10 เป็นร้านอาหารที่เราเคยเห็นออกทีวีบ่อยๆ Crepe Corner นั่นเอง ตอนแรกที่เราได้ยินชื่อ เรานึกว่าเป็นแค่ คีออส ขายเครบ เหมือนที่เราเคยซื้อตามริมถนนอันละ 10-20 บาท ที่ไหนได้ ร้านนี้เค้าขายเครปเป็นเรื่องเป็นราวเลย มีทั้งแบบที่กินเป็นอาหารมื้อหลัก อย่างใส่เนื้อไก่ เนื้อหมู เป็นก้อนๆ ไปจนถึงแบบที่เรากินเล่น เป็นขนม ใส่ไส้ครีม ผลไม้ ฯลฯ เราลองเอาเมนูมาดูแล้วก็อดตะลึงนิดๆไม่ได้ เพราะราคาแต่ละอย่าง เกือบร้อย ทั้งนั้นเลย เราเลยเลือก สั่ง แบบ แฮมไข่ ( เพราะตอนนี้ ยังเช้าอยู่เลย ซัก 10.30 เอง )
ไม่ทันไร ก็ได้กิน เร็วเหมือนเสก อยากบอกว่า น่ากินมั่กๆ เป็นเนื้อเครปสีเหลืองอ่อนๆ หอมเชียว มีไข่ต้มหั่นเป็นแว่นๆ โรยมาข้างหน้าให้ดูด้วยว่า มีไข่นะจ๊ะ เราไม่รอช้า รีบตักเข้าปากทันที ไม่ร้อนเท่าไหร่ กำลังพอดีกิน ได้กินไข่ต้มหอมฉุยสอดไส้อยู่ข้างในผสมกับแฮมมาซะตุงเชียว ก็อร่อยไปอีกแบบไม่เหมือนกับ เครปที่เราเคยกินมาอย่างสิ้นเชิง ที่นี่จะเน้นความนุ่ม หอม บางอร่อย แต่ที่เราเคยกินข้างถนนนั่น จะออกในแนว บางกรอบ แข็ง ไส้ก็จะใช้วิธีทาบางๆ แต่เจ้านี้ เหมือนกินเปาะเปี๊ยะแบบฝรั่งเลย ว่างั้น
ยังไม่อิ่มเลย เราเลยสั่ง สปาเก็ตตี้ขี้เมากุ้งมากินต่ออีกจาน ไม่อยากพูดถึงราคาแล้วล่ะ เดี๋ยวกินไม่ลง ไม่อยากเชื่อว่าไม่ถึง 5 นาที เราก็ได้กินแล้ว เร็วมากๆ อย่างกับเอาออกมาจากไมโครเวฟเลย ( รึเปล่า ) คำแรกที่เข้าปาก ขอบอกเลยว่า อร่อยมากๆ อีกแล้ว กุ้งตัวบะเริ่มเทิ่ม จะเล็กกว่าร้านที่เราเคยกิน ก็เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น คือ สปาเก็ตตี้เฮ้าส์ โอยเจ้านั้นไม่ต้องพูดถึง กุ้งเป็นกุ้ง ตัวเป้งๆ อร่อยมากกกกก แต่ราคาก็ตามนั้นอ่ะนะ
เบ็ดเสร็จ มื้อนี้ เกือบ 200 บาท แลกกับความเพลิดเพลินจากการกิน เถอะน่ะ นานๆครั้ง ปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้น
เรารีบมาที่โรงหนังเดี๋ยวจะไม่ทันรอบแรก ทั้งโรงมีคนดูแค่ 2 คน เข้าโรงปุ๊บ หนังก็ฉายทันที เท่าที่เราจำได้ เป็นหนัง ญี่ปุ่นเรื่องแรกเลยมั่งเนี่ย ที่ไม่มีเพลงประกอบเลยทั้งเรื่อง ( ปกติ หนังญี่ปุ่นที่เราดู มักจะมีดนตรีคลอไปตลอดเรื่องเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม ซึ่ง โดยมากมักจะเป็นเปียโน )
เรื่องนี้ เป็นหนังชีวิต หนักๆ ของคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ตกงาน ตอนแก่แล้ว นึกสภาพสิว่าต้องหดหู่ขนาดไหน ไหนจะเมียที่เก็บกด แล้วยังลูกชายที่มีความฝันของตัวเองอีกสองคน ดูไปแล้วก็น่าเห็นใจไปทุกตัวละคร แต่ดูจนจบไม่ยักจะมีน้ำตาไหลซักหยดแฮะ ทั้งๆที่หนังเศร้าซะขนาดนั้น
เราว่าดูดูไป เหมือนดูปัญหาชีวิต ของคนจริงๆมากเลยนะ ดูแล้วตัวละคร เนื้อเรื่อง โอเคมากๆเลย อย่างกับดูเรื่องของเพื่อนบ้านอยู่ยังไงยังงั้น ด้วยความที่หนังไม่มีดนตรีมาก เลยใช้จินตนาการของคนดูเป้ฯส่วนใหญ่โยหนังไม่ต้องโน้มน้าวอารมณ์คนดูเท่าไหร่เลย นั่นแหละ ความสมจริงของหนังละ
สรุป ไม่มีอะไรพูดถึงมากนัก เราไม่ได้รับความผ่อนคลายจากการดูหนังเรี่องนี้เท่าไหร่เลย เครียดอีกต่างหาก เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า ทำไมตั้งชื่อหนังวา Tokyo Sonata อยากรู้ที่มาจังว่าทำไมใช้ชื่อนี้ มันเกี่ยวอะไรด้วย ถามว่าหนังดีมั๊ย ต้องตอบว่า หนังวดีนะ ทำให้เรารู้ถึงปัญหาของคนในเมืองใหญ่ เห็นปัญหาและการแก้ปัญหาของหลายๆครอบครัว แต่จะให้เราดูอีก หรือซื้อเก็บคงไม่เอาหรอก เครียดเกิน เราให้ 7.4 นะ สำหรับเรื่องนี้ ไม่ผิดหวังหรอก แต่ไม่สมหวังเท่าไหร่
เนือ้เรื่องย่อ : ในเมืองโตเกียว ริวเฮย์ หรือ พ่อ (เทรุยุกิ คางาวะ) ก็เหมือนนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นทั่วๆ ไป เขาต้องเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟที่แออัดทุกๆ วัน ออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับก็ค่ำ วิถีชีวิตเช่นนี้ทำให้เขาไม่สนิทสนมกับลูกชายทั้งสองที่ชื่อ ทากะ (ยู โคยานางิ) และ เคนจิ (อิโนวากิ ไค)
วันหนึ่ง พ่อถูกปลดจากงานอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาตัดสินใจไม่บอกเรื่องนี้กับ เมงุมิ (เคียวโกะ โคอิซูมิ) ภรรยาของเขาและแม่ของลูกๆ พ่อยังคงทำเหมือนออกไปทำงานทุกวันเช่นเดิม แต่จริงๆ แล้ว เขาไปแกร่วฆ่าเวลาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะ
ขณะเดียวกัน เคนจิวัย 11 ปี ก็ถูกนักเรียนอื่นรังแกและรีดไถเงิน นอกจากนี้ เคนจิยังแอบเอาเงินค่าเรียนคาราเต้ ไปจ่ายค่าเรียนเปียโนแทน เพราะเขารักการเล่นเปียโนมาก ขณะที่พ่อคิดว่าเปียโนเหมาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ทุกๆ เช้า ขณะรับประทานอาหารร่วมกัน พ่อและเคนจิต่างก็พูดโกหกกับแม่ เพื่อรักษาความลับของตนเอาไว้
ในที่สุดพ่อก็ต้องยอมรับงานเป็นภารโรงอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียนของเคนจิ เขายังคงปิดบังเรื่องนี้กับแม่ และออกไปทำงานทุกเช้าและกลับบ้านตอนค่ำด้วยชุดสูทของนักธุรกิจ ขณะนั้น แม่เริ่มเอะใจว่าเคนจิไม่ได้เรียนคาราเต้ เพราะชุดฝึกคาราเต้ของเขาไม่สกปรกเลยสักนิด
วันหนึ่ง หลังเสร็จจากงานภารโรง พ่อตามเคนจิไปที่โรงเรียน และค้นพบความจริง เขาโกรธลูกมากจนสั่งห้ามไม่ให้เคนจิเรียนทั้งคาราเต้และเปียโนอีกต่อไป ทว่าเวลาต่อมา พ่อกลับถูกสถานการณ์บังคับให้เผยความลับของตนเสียเอง เพราะเขามาพบเคนจิที่กำลังโดนเด็กเกเรรีดไถเงิน และมีเพียงพ่อเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องเคนจิได้
Synopsis (TOKYO SONATA ) : It is a portrait of a seemingly ordinary Japanese family. The father who abruptly loses his job conceals the truth from his family; the eldest son in college hardly returns home; the youngest son furtively takes piano lessons without telling his parents; and the mother, who knows deep down that her role is to keep the family together, cannot find the will to do so. From the exterior, all is normal and the same. But somehow, a single, unforeseeable chasm has appeared within the family, only to spread ever so quietly and quickly to disintegrate them.
In contemporary Tokyo, Ryuhei or Dad (Teruyuki Kagawa) is like most other Japanese businessmen, commutes to work every day on crowded Tokyo trains. He leaves early and comes home late. This lifestyle does little to promote a bond with his two sons, Taka (Yu Koyanagi) and Kenji (Inowaki Kai).
One day, Dad unexpectedly lose his job. He decides not to tell his wife Megumi or Mom (Kyoko Koizumi), and departs each day for work, when, in fact, he is killing time in shopping malls and parks.
Meanwhile 11-year-olds Kenji, who is the target of the school bullies, is secretly using his karate tuition to pay for lessons on the piano. Each morning at breakfast, Dad and Kenji lie to Mom to maintain their secret lives.
Dad eventually becomes a janitor at a shopping mall near Kenji's school. He still refuses to tell Mom about his new job, and continues to leave for work and to return home in his business suit. Kenji's clean karate uniform, however, convinces Mom that he may not be training at all.
One day after his janitorial work, Dad follows Kenji and discovers the truth. His blatant lying infuriates Dad, who bans him from both karate and the piano. But when Kenji is confronted by the bullies who demand the money, only Dad can avert the situation. In saving his son, both Dad's job and his falsehoods will be revealed.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Friday, December 12, 2008,12/12/2008 03:53:00 PM
The Duchess : เดอะ ดัชเชส พิศวาส อำนาจ ความรัก
หนังเรื่องนี้ ฉายที่ Lido ที่เดียว ใจน่ะอยากดูแต่รู้สึกว่าไปไกลขนาดนั้น เพื่อดูหนังเรื่องเดียว ไม่ค่อยคุ้ม เฮ้อ แต่อยากดูก็อยากดู ไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องวางแผน ไหนๆจะไปแถวสยามทั้งที ต้องเอาให้คุ้มหน่อย เลยมานั่งนึกว่า เอ เรามีธุระอะไรที่จะต้องทำแถวนั้นบ้างนะ แล้วเราจะไปกินข้าวที่ไหน แถวนั้นของแพงจะตายชัก ฯลฯ โอเค เลยสรุปว่า เราจะนั่งรถเมลล์ไปก็แล้วกัน ไปลงที่ BigC ราชดำริ หาร้านคูปองกินในนั้นเลย จะได้ประหยัดเงิน แล้วก็ค่อยข้ามถนนไป เซ็น ไปเดินดูของซะหน่อย จากนั้น ค่อยไปตีตั๋วดูหนัง ถ้าเวลาเหลือก็เอาคูปองกินขนมฟรีที่ร้าน ไอซ์เกรซ ไปกินซักสองถ้วย ดูหนังเสร็จค่อยไปเดินเล่น พารากอน แล้วก็ไปเว็คดูรอบหนัง สามมิติที่ Imax จบแล้วก็ไปเดิน Platinum เอาตามนี้แหละ
ตามแผนที่หนึ่ง กินข้าวก่อน เราแลกคูปองไป ร้อยหนึ่ง คิดว่าจะกินซัก สามสิบบาท แต่แลกเผื่อไว้ นื่องจากเราไม่ได้กินข้าวต้มนานมากแล้ว เราก็เลยเลือกกนข้าวต้มแดง เลือกกับข้าว สองอย่างพอ เป็นหมูหวาน กับ ไข่เยี่ยวม้าฟองนึง คนขายคิดเรา 55 บาท เราว่า แพงไปนะ ข้าว 5 บาท กับข้าวอย่างละ 25 แต่ไหนๆก็ไหนๆ สั่งไปแล้ว ก็กินให้เสร็จๆ จะได้รีบไปดูหนัง เราเดินข้ามถนนไป เซ็น ตรงชั้นสองที่มีทางเชื่อมเดินไปพารากอนได้ สายตาเราก็เหลือบไปเห็น เคาเตอร์นาฬิกา เลยเดินแวะไปดูตามสัณชาตญานของคนชอบนาฬิกา พอเห็นเทานั้นแหละ บอกตัวเองเลยว่า เฮ้อ ไม่น่าแวะมาเลย ก็นาฬิกาที่เราไปดูน่ะดิ มันสวยมากๆ แบบถูกใจเลย อยากซื้อซัก สองสามเรือน แต่ไม่มีตังค์ เราเคยเห็นในทีวี ยี่ห้อ Toywatch ตอนแรกเราคิดว่า เรือนละไม่กี่ตังค์ ที่ไหนได้ เรือนละเป็นหมื่น แบบนี้ มันไม่ใช่ Toy แล้ว มันเอาไว้ใส่จริง ราคาแบบนี้ เราซื้อ Tag ได้เลยนะเนี่ย เลยไม่เอา ชั่งมัน ( ไอ้เจ้า ชั่งมันนี่ ดีจริงๆ หลังๆ พูดบ่อยมากกเลย 555 )
โอ้ ยังมีเวลาถมถืด หลังจจากตีตั๋วเสร็จ เราก็เลยเดินไปกินน้ำแข็งไสที่ร้าน Icegraze ในสยาม เขินเหมือนกันนะเนี่ย แก่ป่านนี้แล้วยังจะมานั่งกินเป็นเด็กอยู่ได้ แต่ชั่งมัน ( อีกละ ) ของฟรีอ่ะ คิดอะไรมาก มทาถึงร้านโดยไม่ทันตั้งตัว ร้านสวยกว่าที่จินตนาการไว้ เป็นร้านเล็กๆ โทนสีขาว มีพนักงานอยู่ สองสามคน เก้าอี้โต๊ะ ทุกอย่างไม่เชย ดูกำลังดี ไม่เว่อมาก เราก็ตรงเข้าไปสั่ง Mixed Fruits กับ Chocolate Banana ทีเดียวสองถ้วยเลย ( นี่ถ้าเสียเงินกินคงไม่กล้า หรอก สองถ้วยเกือบ 200 บาท ) ไม่นานนัก ก็ได้กิน บอกได้คำเดียวว่า ไม่เหมือนน้ำแข็งไสอะไรที่เราเคยกินในโลกนี้เลย น้ำแข็งไสได้ละเอียดเหมือนแป้ง ผลไม้ที่ราดอย่างกีวี สตอเบอรี่ พอเข้าปากเรา เราเอาฟันขบนิดเดียว ละลายเลยอ่ะ อร่อยมากๆ แต่อีกถ้วยที่เป็น ๙อกโกแล็ต นั่น เรากินแล้วก็โอเค แต่เราชอบ MIxed Fruits มากกว่า
ถึงเวลาดูหนังละ ทั้งโรงมีไม่ถึง สิบคนเลย โรงออกไปทางกว้างมาก แต่ตื้นมาก คือมีแถวประมาณ สิบแถว แต่ว่าแต่ละแถวเราว่ามีที่นั่งประมาณ 40 ที่นั่ง อ่ะ เยอะมั๊ยล่ะ โชคดีที่เรานั่งแถวบนสุด ตรงกลาง เลยดูแล้วน่าจะโอเคที่สุด เลยเปิดฉากมาก็พูดถึงนางเอกกำลังพนันกับเพื่อนๆว่าแฟนใครวิ่งเร็วที่สุด ปรากฏว่าแฟนนางเอกชนะ หนังพยายามสื่อให้เห็นว่านางเอกมีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่ามาก วันๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่งตัวสวย เล่น แล้วก็อยู่กับแฟน หนังดำเนินเรื่องเร็วมาก จู่ๆ นางเอกก็ได้ไปแต่งงานกับดยุกแกคนนึงที่อยากมีทายาทเร็วๆ นางเอกหน้าตาดีใจมากเลยที่ได้แต่งงานกับคนรวยๆแต่แต่งงานไปตั้งนาน ได้แต่ลูกสาว อีตาสามีเลยจ้องจะมีเมียใหม่ แล้วก็ดันไปได้กับเพื่อนางเอกที่นางเอกชวนมาอยู่ด้วยกันในบ้าน นางเอกจับได้ก็เลยวีนใส่ สุดท้ายนางเอกเลยดอดไปมีอะไรกับแฟนเก่าที่กำลังจะลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายก ผัวแก่จับได้เลยสั่งห้ามไม่ให้ติดต่อกัน ฯลฯ เนื้อเรื่องเป็นอย่างนี้จริงๆนะ เหมือนดูหนังไทยน้ำเน่า ที่พูดเรื่องในครอบครัว นั่งดูไปก็ทำใจไป เนื้อเรื่องฝรั่งก็น้ำเน่าพอกับละครไทยนั่นแหละ แสดงว่าละครไทยเราก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลแล้วมั๊ง โชคดีของหนังเรื่องนี้ ที่ได้ดาราดีๆ มาแสดง อย่าง ราฟไฟน์ เคียร่า นี่ถ้าไม่มีสองนนี้ ก็ไม่รู้จะมาดูอะไรนะเนี่ย
สรุป เราไม่มีอะไรจะพดแล้วสำหรับหนังเรื่องนี้ ตอนแรกนึกว่าจะมีอะไรลึกซึ้งกว่านี้ กลับกลายเป็นเรื่องส่วนตัวของคนนครอบครัว ที่ไม่ว่าเศรษฐี หรือคนจนก็มีเหมือนกัน นั่นก็คือเ รื่อง กิเลส ตัณหา ดูแล้วก็ปลง ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ เรื่องเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และ ฉากต่างๆ ทำได้อลังการดีมาก ดาราก็แสดงดีทุกตัว พระเอกเล่นดีจริงๆ ดูแล้วอินเลย นางเอก็โคตรผอม แต่ก็ยังสวยอยู่ ตัวอื่นๆก็โอเค รวมๆแล้ว ค่อนข้างไม่ประทับใจเท่าไหร่ ก็เพราะอีตรงเนื้อเรื่องนี่แหละ เอาไป 6.5 พอ
เนื้อเรื่องย่อ เป็นเรื่องเล่าร่วมสมัยเกี่ยวกับชื่อเสียง ความโด่งดังและการไขว่คว้าหาความรักของหญิงสาว ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในตอนปลายศตวรรษ ที่สิบแปด ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ของจอร์เจียนา สเปนเซอร์ สาวสวยผู้งดงาม ผู้ทรงเสน่ห์ที่สุดในยุคนั้น ในขณะที่ความงามและเสน่ห์อันยากที่จะทนทาน ได้สร้างชื่อเสียงจนโด่งดังให้กับเธอ แต่รสนิยมที่สูงส่งและความกระหายการพนันและความรัก ก็กลับทำให้ชื่อของเธอฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ หลังจากที่ได้สมรสกับดยุคแห่งเดวอนเชียร์ ผู้มีอิทธิพล และใกล้ชิดกับเหล่าข้าราชการชั้นสูง รวมไปถึง รัฐมนตรีและเจ้าชาย ที่มีอายุมากกว่าเธอเยอะ จอร์เจียนาก็ได้กลายมาเป็นแฟชันไอคอน เป็นแม่ผู้ทุ่มเท เป็นนักการเมืองผู้เจ้าเล่ห์และเป็นที่รักของสามัญชน แต่แก่นที่แท้จริงของเรื่องราวของเธอคือการไขว่คว้าหาความรักตั้งแต่ สัมพันธ์สวาทที่เร่าร้อนแต่ไม่มีทางออกระหว่างเธอกับชาร์ล เกรย์ไปจนถึงความสัมพันธ์สามเส้ากับสามีเธอและเลดี้ อลิซาเบท เบส ฟอสเตอร์ เพื่อนสนิทของเธอเอง
Synopsis : The Duchess of Devonshire, Georgiana Spencer (Keira Knightley), was the original "It Girl." Like her direct ancestor Princess Diana, she was ravishing, glamorous and adored by an entire country. Determined to be a player in the wider affairs of the world, she proved that she could out-gamble, out-drink and outwit most of the aristocratic men who surrounded her. She helped usher in sweeping changes to England as a leader of the forward-thinking Whig Party. But even as her power and popularity grew, she was haunted by the fact that the only man in England she seemingly could not seduce was her very own husband, the Duke (Ralph Fiennes). And when she tried to find her own way to be true or her heart and loyal to her duty, the resulting controversies and convoluted liaison pushed her to the brink of risking banishment by her own husband, family and all of London society.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Thursday, December 11, 2008,12/11/2008 04:10:00 PM
The Day The Earth Stood Still : วันพิฆาตสะกดโลก
เป็นหนังที่มีโฆษณาก่อนฉายไม่นานซักเท่าไหร่ ซักอาทิตย์ สองอาทิตย์ได้มั๊ง ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าจะยังไง แต่ด้วยความที่มีดาราดังมาแสดงอย่าง คีนู รีฟ แล้วก้ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ ก็เลยเบาใจไปนิดนึง เราเลยเลือกไปดูที่ SF บางกะปิ เรามีคูปอง 120 บาทอยู่ ซึ่งโรงดิจิตอล รอบปฐมทัศน์นี่เค้าต้องเพิ่มอีก 20 บาท เราเลยบอกนขายตั๋วว่า เราจะจ่ายส่วนเพิ่มด้วย Smart Purse ช่วยบริษัทเก่าเราหน่อย 5555 รู้มั๊ยว่า พนักงานตอบมาทันควันเลยว่า ไม่ได้ค่ะ ต้องจ่ายส่วนต่างด้วยเงินสดเท่านั้นเราเลยถามไปว่า ทำไมไม่ได้ล่ะ คราวที่แล้วเรายังจ่ายได้เลย ( จริงๆแล้ว เราจะจ่ายเงินสดไปก็ได้นะ 20 บาท จะได้จบเรื่องไป แต่ไม่ล่ะ เพราะว่า ถ้ามันไม่ได้จริงๆเนี่ย เราอยากรู้เหตุผล จะได้ไปบอกเพื่อนๆเราที่ Thai Smart Card แล้วก็ไปฟ้อง พี่กบ MD ของ SF ด้วยเลยว่า พี่ครับ ลูกน้องพี่ไม่ยอมรับบัตรอ่ะครับ นี่ ร้ายมั๊ยล่ะ 5555 ล้อเล่นน่ะ ใครจะไปบ้าทำขนาดนั้น
เชื่อมั๊ย สุดท้าย ก็จ่ายได้ หลังจากน้องคนนั้น วิ่งเข้าไปถามหัวหน้าด้านใน เราต้องการแค่นี้แหละ คือ คนที่ทำงานบริการคนเนี่ย เวลาที่ลูกค้ามีปัญหา เค้าไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจาก การเอาใจใส่ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าคุณได้พยายามแล้ว คนไทยด้วยกันไม่มีใครจะไปงี่เง่าอะไรกับคุณ ขนาดนั้นหรอกน่า พยายามแล้ว ไม่ได้ก็คือไม่ได้
กลับมาคุยเรื่องหนังต่อดีกว่า เรื่องนี้ เจนนิเฟอร์ ดูดีกว่าที่แล้วมา สงสัยว่าจะเป็นเพราะผอมลงเยอะแล้ว จากภาพที่เคยติดตาเราสมัยก่อนของเธอ ส่วนคีนู สงสัยว่าจะอินกับบทในเรื่อง แมททริกซ์ นานเกินไป หลังๆ เวลาแสดงหนังเลยรู้สึกว่า จะเป็นแพทเทิร์นเดิมตลอด คือ ทื่อๆ ไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว บทบาทแบบนี้ แสดงยากหรือง่าย เพราะเล่นเป็นอมนุษย์ เลยต้อง ทื่อๆ แบบนี้ หรือไง แต่มันดูขาดเสน่ห์อ่ะ บอกไม่ถูก ยังไงก็ไม่รู้
ที่ชอบที่สุดในหนัง น่าจะเป็น ดีไซน์ ของลูกทรงกลมนั่นสวยดี เหมือนดาวพฤหัสบดีที่เราเคยเห็นในหนังสือ แล้วก็หุ่นยนต์ที่ตอนสุดท้ายกลายเป็นแมลงกัดกินโลหะได้ เออแปลกดีแฮะ ส่วนเนื้อเรื่อง เราว่าตอนแรกก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจตื่นเต้นดีอยู่หรอก แต่ไปๆมาๆ มันขาดความสมจริงยังไงก็ไม่รู้อีกละ ตกลงมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกันแน่ เพราะตอนแรกก็บอกว่าเป็นมิตร แล้วจะมาทำลายโลกทำไมอ่ะ ก็พูดกันดีดีสิ จะบอกว่าคนไปทำเค้าก่อนก็ว่าไม่ได้อีก อ้าวก็ตัวเองมีพลังเยอะแยะ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาดีหือมาร้าย เราก็ต้องป้องกันตัวเองดิ
สรุป เราว่าหนังลงทุนเยอะนะ ดาราก็ดี แต่แสดงได้งั้นๆ แถมบทก็งั้นๆ อ้อ ลืมบอกไปว่าเราชอบคำพูดของ คลาทู ตอนที่บอกว่า สสารไม่มีวันหายไปไหนในจักรวาล มีแต่เปลี่ยนแปลงรูปร่างเท่านั้น ( จริงๆแล้ว ประโยคนี้ นักวิทยาศาสตร์พูดมานานแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ทำไม เราดูเรื่องนี้แล้ว เราได้ยินประโยนี้ แล้วสะกิดใจจัง ) เราก็เลยเอามาโยงกับศาสนาพุทธซะเลย แล้วก็เลยเอามาใช้อธิบายเรื่องบาปบุญได้บางกรณี ไม่เอาละ พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าเพ้อเจ้อ เอางี้ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ เราก็เลยรู้สึกว่า ยังไม่โดนเท่าไหร่ นะ เราให้ 7.1 อ่ะ ให้ดูอีกก็ไม่เอา แชอบ CG เรื่องนี้นะ ขอบอก ทำได้ดีเลย โดยฌพาะตอนที่แมงกินตึก ป้ายต่างๆ ทำได้ดีมากกกกกกกกกกก

เนื้อเรื่องย่อ นี่ คือภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่รีเมคมาจากตัวหนังชื่อเดียวกันที่ สร้างขึ้นเมื่อปี ค,ศ,1951 กำกับโดยสก็อตต์ เดอริคสัน ภาคนี้นำแสดงโดยคีนู รีฟ กับบทบาทมนุษย์ต่างดาวในร่างของมนุษย์ โดยมีฉากหลังเป็นเรื่องราวของการทำลายธรรมชาติของมนุษย์ ส่งผลโยงใยมาถึงสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อสิ่งมีชีวิตที่มีอารยะธรรมเหนือกว่ามนุษย์โลก เห็นว่ามนุษย์กำลังกัดกร่อนสลายดาวของตัวเอง เขาจึงนำสารมาเตือนมนุษย์โลก และถ้าไม่ทำตาม ความวิบัติครั้งยิ่งใหญ่ก็จะต้องเกิดขึ้น
Synopsis : An alien traveler, Klaatu (Keanu Reeves), heads to Earth along with his bodyguard robot, Gort, to deliver a warning of planetary destruction if the people of the world fail to bring peace to their civilizations.The governments and scientists race to unravel the mystery behind the visitor's appearance. A scientist Helen (Jennifer Connelly) and her young stepson Jacob (Jaden Smith) get caught up in Klaatu's mission, and come to understand the ramifications of his being a self-described 'friend to the Earth'.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments