จะว่าไป หมู่นี้เราก็ไม่ค่อยจะได้มาโรง House บ่อยซักเท่าไหร่ ก็เนื่องมาจากไม่ค่อยมีหนังใหม่เข้านั่นเองแหละ ไม่ใช่อะไร จริงๆแล้ว เรื่อง Tokyo Sonata อยู่ในรายชื่อหนังที่เราอยากดูหลังปีใหม่นะเนี่ย แต่ว่า แหม ไหนๆก็ไม่ได้ไปดูนานแล้ว เอาเถอะ มาดูก่อนปีใหม่ก็ได้น่า ( จริงๆ อยากมาดูอยู่แล้วล่ะ )
ก่อนจะถึงโรงหนัง เราก็วางแผนไปกินอาหารแปลกๆซักนิดนึง ที่ เอกมันซอย10 เป็นร้านอาหารที่เราเคยเห็นออกทีวีบ่อยๆ Crepe Corner นั่นเอง ตอนแรกที่เราได้ยินชื่อ เรานึกว่าเป็นแค่ คีออส ขายเครบ เหมือนที่เราเคยซื้อตามริมถนนอันละ 10-20 บาท ที่ไหนได้ ร้านนี้เค้าขายเครปเป็นเรื่องเป็นราวเลย มีทั้งแบบที่กินเป็นอาหารมื้อ
.jpg)
หลัก อย่างใส่เนื้อไก่ เนื้อหมู เป็นก้อนๆ ไปจนถึงแบบที่เรากินเล่น เป็นขนม ใส่ไส้ครีม ผลไม้ ฯลฯ เราลองเอาเมนูมาดูแล้วก็อดตะลึงนิดๆไม่ได้ เพราะราคาแต่ละอย่าง เกือบร้อย ทั้งนั้นเลย เราเลยเลือก สั่ง แบบ แฮมไข่ ( เพราะตอนนี้ ยังเช้าอยู่เลย ซัก 10.30 เอง )
ไม่ทันไร ก็ได้กิน เร็วเหมือนเสก อยากบอกว่า น่ากินมั่กๆ เป็นเนื้อเครปสีเหลืองอ่อนๆ หอมเชียว มีไข่ต้มหั่นเป็นแว่นๆ โรยมาข้างหน้าให้ดูด้วยว่า มีไข่นะจ๊ะ เราไม่รอช้า รีบตักเข้าปากทันที ไม่ร้อนเท่าไหร่ กำลังพอดีกิน ได้กินไข่ต้มหอมฉุยสอดไส้อยู่ข้างในผสมกับแฮมมาซะตุงเชียว ก็อร่อยไปอีกแบบไม่เหมือนกับ เครปที่เราเคยกินมาอย่างสิ้นเชิง ที่นี่จะเน้นความนุ่ม หอม บางอร่อย แต่ที่เราเคยกินข้างถนนนั่น จะออกในแนว บางกรอบ แข็ง ไส้ก็จะใช้วิธีทาบางๆ แต่เจ้านี้ เหมือนกินเปาะเปี๊ยะแบบฝรั่งเลย ว่างั้น
ยังไม่อิ่มเลย เราเลยสั่ง สปาเก็ตตี้ขี้เมากุ้งมากินต่ออีกจาน ไม่อยากพูดถึงราคาแล้วล่ะ เดี๋ยวกินไม่ลง ไม่อยากเชื่อว่าไม่ถึง 5 นาที เราก็ได้กินแล้ว เร็วมากๆ อย่างกับเอาออกมาจากไมโครเวฟเลย ( รึเปล่า ) คำ
.jpg)
แรกที่เข้าปาก ขอบอกเลยว่า อร่อยมากๆ อีกแล้ว กุ้งตัวบะเริ่มเทิ่ม จะเล็กกว่าร้านที่เราเคยกิน ก็เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น คือ สปาเก็ตตี้เฮ้าส์ โอยเจ้านั้นไม่ต้องพูดถึง กุ้งเป็นกุ้ง ตัวเป้งๆ อร่อยมากกกกก แต่ราคาก็ตามนั้นอ่ะนะ
เบ็ดเสร็จ มื้อนี้ เกือบ 200 บาท แลกกับความเพลิดเพลินจากการกิน เถอะน่ะ นานๆครั้ง ปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้น
เรารีบมาที่โรงหนังเดี๋ยวจะไม่ทันรอบแรก ทั้งโรงมีคนดูแค่ 2 คน เข้าโรงปุ๊บ หนังก็ฉายทันที เท่าที่เราจำได้ เป็นหนัง
.jpg)
ญี่ปุ่นเรื่องแรกเลยมั่งเนี่ย ที่ไม่มีเพลงประกอบเลยทั้งเรื่อง ( ปกติ หนังญี่ปุ่นที่เราดู มักจะมีดนตรีคลอไปตลอดเรื่องเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม ซึ่ง โดยมากมักจะเป็นเปียโน )
เรื่องนี้ เป็นหนังชีวิต หนักๆ ของคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ตกงาน ตอนแก่แล้ว นึกสภาพสิว่าต้องหดหู่ขนาดไหน ไหนจะเมียที่เก็บกด แล้วยังลูกชายที่มีความฝันของตัวเองอีกสองคน ดูไปแล้วก็น่าเห็นใจไปทุกตัวละคร แต่ดูจนจบไม่ยักจะมีน้ำตาไหลซักหยดแฮะ ทั้งๆที่หนังเศร้าซะขนาดนั้น
เราว่าดูดูไป เหมือนดูปัญหาชีวิต ของคนจริงๆมากเลยนะ ดูแล้วตัวละคร เนื้อเรื่อง โอเคมากๆเลย อย่างกับดู
.jpg)
เรื่องของเพื่อนบ้านอยู่ยังไงยังงั้น ด้วยความที่หนังไม่มีดนตรีมาก เลยใช้จินตนาการของคนดูเป้ฯส่วนใหญ่โยหนังไม่ต้องโน้มน้าวอารมณ์คนดูเท่าไหร่เลย นั่นแหละ ความสมจริงของหนังละ
สรุป ไม่มีอะไรพูดถึงมากนัก เราไม่ได้รับความผ่อนคลายจากการดูหนังเรี่องนี้เท่าไหร่เลย เครียดอีกต่างหาก เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า ทำไมตั้งชื่อหนังวา Tokyo Sonata อยากรู้ที่มาจังว่าทำไมใช้ชื่อนี้ มันเกี่ยวอะไรด้วย ถามว่าหนังดีมั๊ย ต้องตอบว่า หนังวดีนะ ทำให้เรารู้ถึงปัญหาของคนในเมืองใหญ่ เห็นปัญหาและการแก้ปัญหาของหลายๆ
.jpg)
ครอบครัว แต่จะให้เราดูอีก หรือซื้อเก็บคงไม่เอาหรอก เครียดเกิน เราให้ 7.4 นะ สำหรับเรื่องนี้ ไม่ผิดหวังหรอก แต่ไม่สมหวังเท่าไหร่
เนือ้เรื่องย่อ : ในเมืองโตเกียว ริวเฮย์ หรือ พ่อ (เทรุยุกิ คางาวะ) ก็เหมือนนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นทั่วๆ ไป เขาต้องเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟที่แออัดทุกๆ วัน ออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะกลับก็ค่ำ วิถีชีวิตเช่นนี้ทำให้เขาไม่สนิทสนมกับลูกชายทั้งสองที่ชื่อ ทากะ (ยู โคยานางิ) และ เคนจิ (อิโนวากิ ไค)
วันหนึ่ง พ่อถูกปลดจากงานอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาตัดสินใจไม่บอกเรื่องนี้กับ เมงุมิ (เคียวโกะ โคอิซูมิ)
.jpg)
ภรรยาของเขาและแม่ของลูกๆ พ่อยังคงทำเหมือนออกไปทำงานทุกวันเช่นเดิม แต่จริงๆ แล้ว เขาไปแกร่วฆ่าเวลาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะ
ขณะเดียวกัน เคนจิวัย 11 ปี ก็ถูกนักเรียนอื่นรังแกและรีดไถเงิน นอกจากนี้ เคนจิยังแอบเอาเงินค่าเรียนคาราเต้ ไปจ่ายค่าเรียนเปียโนแทน เพราะเขารักการเล่นเปียโนมาก ขณะที่พ่อคิดว่าเปียโนเหมาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ทุกๆ เช้า ขณะรับประทานอาหารร่วมกัน พ่อและเคนจิต่างก็พูดโกหกกับแม่ เพื่อรักษาความลับของตนเอาไว้
ในที่สุดพ่อก็ต้องยอมรับงานเป็นภารโรงอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียนของเคนจิ เขายังคงปิดบังเรื่องนี้กับแม่ และออกไปทำงานทุกเช้าและกลับบ้านตอนค่ำด้วยชุดสูทของนักธุรกิจ
.jpg)
ขณะนั้น แม่เริ่มเอะใจว่าเคนจิไม่ได้เรียนคาราเต้ เพราะชุดฝึกคาราเต้ของเขาไม่สกปรกเลยสักนิด
วันหนึ่ง หลังเสร็จจากงานภารโรง พ่อตามเคนจิไปที่โรงเรียน และค้นพบความจริง เขาโกรธลูกมากจนสั่งห้ามไม่ให้เคนจิเรียนทั้งคาราเต้และเปียโนอีกต่อไป ทว่าเวลาต่อมา พ่อกลับถูกสถานการณ์บังคับให้เผยความลับของตนเสียเอง เพราะเขามาพบเคนจิที่กำลังโดนเด็กเกเรรีดไถเงิน และมีเพียงพ่อเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องเคนจิได้
Synopsis (TOKYO SONATA ) : It is a portrait of a seemingly ordinary Japanese family. The father who abruptly loses his job conceals the truth from his family; the eldest son in college hardly returns home; the youngest son furtively takes piano
.jpg)
lessons without telling his parents; and the mother, who knows deep down that her role is to keep the family together, cannot find the will to do so. From the exterior, all is normal and the same. But somehow, a single, unforeseeable chasm has appeared within the family, only to spread ever so quietly and quickly to disintegrate them.
In contemporary Tokyo, Ryuhei or Dad (Teruyuki Kagawa) is like most other Japanese businessmen, commutes to work every day on crowded Tokyo trains. He leaves early and comes home late. This lifestyle does little to promote a bond with his two sons, Taka (Yu Koyanagi) and Kenji (Inowaki Kai).
.jpg)
One day, Dad unexpectedly lose his job. He decides not to tell his wife Megumi or Mom (Kyoko Koizumi), and departs each day for work, when, in fact, he is killing time in shopping malls and parks.
Meanwhile 11-year-olds Kenji, who is the target of the school bullies, is secretly using his karate tuition to pay for lessons on the piano. Each morning at breakfast, Dad and Kenji lie to Mom to maintain their secret lives.
Dad eventually becomes a janitor at a shopping mall near Kenji's school. He still refuses to tell
.jpg)
Mom about his new job, and continues to leave for work and to return home in his business suit. Kenji's clean karate uniform, however, convinces Mom that he may not be training at all.
One day after his janitorial work, Dad follows Kenji and discovers the truth. His blatant lying infuriates Dad, who bans him from both karate and the piano. But when Kenji is confronted by the bullies who demand the money, only Dad can avert the situation. In saving his son, both Dad's job and his falsehoods will be revealed.