ปีนี้จัดที่ Siam Paragon ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม -2 พฤศจิกายน 2551 มีหนังเยอะแยะสำหรับคนที่ไม่ชอบดูหนัง แต่มีหนังแค่ร้อยเรื่องเอง สำหรับคนชอบดูหนังแบบเรา ซึ่งเราถือว่าน้อยเกินไป ปีนี้เราได้ดูแค่ไม่ถึง 20 เรื่องเลย เพราะหนังชนเวลากันหลายเรื่อง เลยต้องเลือกแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เสียดายจัง แต่ดีหน่อยตรงที่ ปีนี้ เราไม่ต้องเตรียมอาหารไปกินในโรงเหมือนปีที่ผ่านมา ( ปีที่ผ่านมา ท่เราสามารถดูหนังได้เยอะขนาดนั้นก็เพราะเราลาพักร้อนมาดูหนังโดยเฉพาะเลย แต่ปีนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะวันลาเรามีนิดเดียว แถมปีที่ผ่านๆมา การฉายของหนังจะเป็นลักษณะจบเรื่องนึงฉายต่อเรื่องนึงเลย แต่ปีนี้ หนังจบแล้วมีการพักรอบฉาย เป็นชั่วโมง นั่นแหละสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราดูหนังได้น้อย) แต่ก็นะ พูดไปทำไมมี ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พูดไปแล้วใช่ว่าเค้าจะเปลี่ยนโปรแกรมมาตามเราซะเมื่อไหร่ ( อ้อ ปีนี้ไมยักมีหนังจากประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน พม่า เขมร ลาว แฮะ จริงๆเราอยากดูหนังของเพื่อนบ้านมากๆเลย เพราะหาดูยากส์มาก ) หนังที่เราดูปีนี้ มีดังต่อไปนี้ เราเรียงตามเรื่องที่เราดูนะ

1.Quickie Express หนังอินโดนีเซีย เนื้อเรื่องประมาณเดียวกับ ดิวซ์ ปิ๊กกาโล่ คือ เป็นผู้ชายขายตัวแนวตลกๆ ไปไปมามา ตอนจบพระเอกของเรื่องดันไปรักกับลูกสาวของลูกค้าประจำโดยไม่รู้ตัว เรื่องมันก็เลยอีรุงตุงนังสังขยา เรื่องนี้ทำให้ได้เห็นหน้าตาของประเทศอิเหนา แต่ไม่รู้ว่าหนังสร้างปีอะไร ฟิล์มดูเก่ามากๆ ดาราหน้าตาประหลาดดีจริงๆ พระเอกหน้าตาเหมือนคนขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนนในเมืองไทย อ้อ แต่นางเอกสวยสุดๆ น่ารัก ดูไปดูมาคล้าย น้ำผึ้งนัฐริกา พูดตรงๆ ทั้งเรื่องบอกได้เลยว่า หน้าตาดีอยู่คนเดียวนี่แหละ ถ้าไม่มีน้องคนนี้ช่วยไว้ รับรองหนังดูไม่จืดเลย
ถ้าเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างในสมัยปัจจุบัน จากสิ่งที่ปรากฎในจอ ต้องพูดตรงๆเลยว่า อินโดยังเจริญทางวัตถุน้อยกว่าเรามากๆๆๆๆๆๆ ถนนหนทางก็สกปรก คอมพิวเตอร์ที่เห็นในเรื่องรู้สึกจะเป็นรุ่นเมื่อซัก 20 ปีมี่แล้ว เพราะหนาใหญ่มาก หน้าจอยังเป็นสีดำ ตัวหนังสือสีเขียวๆอยู่เลย เป็นบุญตาที่ได้เห็นอีกครั้งนึงนะรุ่นนี้
สรุป ก็ดูเพลินดีนะ หนังยาวเกือบสองชั่วโมง นอกจากตัวแสดงหน้าตาโหลยโท่ยอย่างที่บอกแล้ว อย่างอื่นก็ดีนะ เสื้อผ้าดูเชยไปนิด แต่ด้วยความเชยนี่แหละ ทำให้หนังดูมีเสน่ห์มากเลย เราไม่ได้มีโอกาสดูหนังประมาณย้อนยุคแบบนี้นานมากแล้ว เป็นหนังเรื่องแรกในเทศกาลนี้เลยนะเนี่ย เราให้ 8.1

2.Adult Only
น่าจะเป็นหนังมาเลเซีย เป็นแนวสารคดี ดูไม่เหมือนหนังเลย หนังถ่ายคนแก่ซัก 10 คนได้ กำลังกำงานอดิเรก แล้วก็พุดถึงความฝันของตัวเองตอนเป็นเด็กว่าอยากเป็นอะไร ไม่มีอะไร ดูแล้ว งงๆ พูดทำไมเนี่ย
สรุป งงๆ ดูแล้วเหมือนกำลังดูทีวีอยู่ คนแก่ก็พูดไปคนละประโยค แต่ได้ประเด็นของเรื่องว่า ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเคยอยากเป็นนั่นนะ แต่ตอนนี้ฉันแก่แล้ว ไม่ได้เป็นก็ไม่เป็นไร แต่ฉันก็ทำสิ่งที่ฉันรักเป็นงานอดิเรกได้ เออ แล้วไงเนี่ย เอาไป 5
3.Her name is Sabine หนังฝรั่งเศสนะ ปกติเราชอบหนังฝรั่งเศสอยู่แล้ว บอกไม่ถูกอ่ะ เหมือนนทำรู้ใจคนดูว่าอยากดูอะไร ขนาดเองนี้เป็นแนวสารคดี ยังดูสนุกเลย เป็นเรื่องของผู้หญิงออทิสติกคนนึง ไม่รู้ว่าเราเข้าใจผิดไปรึเปล่า เราว่าอาการของเค้ากำเริบขึ้นเรื่อยๆอ่ะ คือแบบว่าตอนสาวสวยมากๆ หน้าเหมือนเดมี่มัวเลย แล้วตอนนั้นก็ยังพูดจารู้เรื่องอยู่นะ แต่

พอผ่านไปผ่านไป หนังก็เก็บภาพมาตั้งแต่สาวๆนะ แก่ตัวกลายเป็นคนติงต๊องไปเลย อ้วนมากด้วย แต่ก็ยังมีเค้าสวยนิดๆ ดูแล้วก็น่าสงสาร หนังไม่มีการปรุงแต่งอะไร แต่ตัดภาพมาเฉพาะตอนที่ชวนสะกิดใจ อย่างตอนที่ถามคำถามกับญาติๆซ้ำๆว่า พรุ่งนี้จะมาหาอีกมั๊ย ญาติก็ตอบไปแล้วว่ามามาแน่ๆ แต่ซักพักก็ถามอีก ดูแล้วเหงาแทนคนถามขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ น่าสงสาร
สรุป ดูดิ บอกแล้วว่า ไม่ได้เข้าข้างหนังฝรั่งเศส แต่เรื่องนี้เป็นสารคดี ที่ดูไม่เหมือนสารคดีเลย ดูแล้วอินสุดๆ น่าสงสารคนที่เป็นออทิสติกอ่ะ คนทำก็เข้าใจตัดแต่ภาพที่ดูแล้วสะเทือนใจ มีทั้งน่ารักและน่าสงสาร แต่ยังไงๆเราก็ไม่ค่อยชอบหนังแนวสารคดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ความบันเทิงคงได้แค่ 6.5

4.The Past หนังบราซิล เป็นหนังที่ดูมีเรื่องราวมากที่สุดเลยของวันนี้ เพราะมีเนื้อเรื่องเยอะและยาวอีกต่างหาก ดาราหน่าตาแปลกๆสไตล์ลาติน มีฉากอย่างว่าเยอะไปนิดเหมือนดูหนังอาร์ตลอดเรื่อง จริงๆแล้วเรื่องน้น่าจะตั้งชื่อไทยว่า ขุนแผนบริซิลเพราะ พระเอกเรื่องนี้ได้ผู้หญิงแทบทุกคนในเรื่อง นับๆแล้วก็ตั้งแต่ เมียคนแรก มานางแบบชุดชั้นใน ล่ามนักแปล สาวแปลกหน้าในงานเลี้ยง ลูกค้าฟิตเนส ฯลฯ ตอนจบก็กลับมาตายรัง
สรุป เนื้อเรื่องยาวซะเปล่า ไม่ค่อยเน้นเรื่องอะไรนอกจากเรื่องบนเตียง พระเอกนางเอกรูปร่างหน้าตาดีทุกคน ยกเว้นตัวเมียคนแรก หน้าเหมือน ไม่รู้จะพูดยังไงดี คือแบบว่าจมูกใหญ่มากๆ เอาเป็นว่าไม่สวย แต่แสดงเก่งโคตร สีหน้าแววตา ดูแล้วน่าสงสาร ยิ่งตอนถูกทิ้ง โอ้โฮ ดูแล้วอิน รวมๆถ้าไม่นับเนื้อเรื่องที่ตอนจบเราเดาไม่ออกว่าจบยังไง คือแยกกันหรืออยู่ด้วยกันแล้ว รวมๆก็โอเคนะ แต่ยังมาสุดๆ อ่ะ เราให้แค่ 7 พอ

5. La France เห็นชื่อหนัง เราก็รู้ทันทีว่าเป็นหนังฝรั่งเศสหนังโปรดของเราอย่างแน่นอน แต่เราเดาว่าเป็นหนังแนวรักชาติ ที่ไหนได้ กลายเป็นหนังโบราณ ที่ผู้หญิงรักผู้ชายมากซะจนกระทั่ง พอผู้ชายออกรบผูหญิงก็ปลอมตัวเป็นผู้ชายออกติดตามหาแฟน จนในที่สุดก็เจอในตอนจบ แต่เป็นการจบแบบหักมุม เล็กๆ
ถ้าจะมีอะไรดีในหนังเรื่องนี้ ต้องยกให้เพลงประกอบ เป็นเพลงพื้นสบ้านทำนองเชย แต่เพราะโคตร เพราะในหนังเอาที่ร้องมาแทรกในเวลา ในฉากที่เหมาะสม นี่แหละ เสน่ห์ของหนังฝรั่งเศส ลงตัว บอกไม่ถูกเหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่เห็นมีอะไรมากเลย เนื้อเรื่องก็งั้นๆ แต่โคตรพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป ส่วนอย่างอื่นๆของหนัง ดาราที่แสดง ต้องขอโทษตรงนี้เลยนะ นางเอกหน้าตาไม่ได้เรื่องเลย ขอโทษอีกที คนใช้ที่บ้านยังสวยกว่านี้อีก แต่ก็อย่างว่าแหละ เนื้อเรื่องเป็นผู้หญิงที่ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายมั๊ง เลยต้องหาคนที่คล้ายๆผู้ชายมาแสดง รึเปล่า
สรุป เนื้อเรื่องงั้นๆ ดำเนินเรื่องเอื่อยๆเนือยๆ แต่เพลงไพเราะกินจะพรรณาไม่รู้จะไปหาซีดีได้ที่ไหน อยากฟังแล้วฟังอีก พูดอีกที ตอนที่ร้องในเรื่อง ร้องแบบไม่มีดนตรีมากชิ้นด้วยนะ มีแค่กลองมีแค่ขลุ่ย ตีกระด๊องกระแด๊งไป กลับเพราะ ก็อย่างที่บอกไง ความลงตัว มันควรจะโผล่มาตอนนี้มันก็มา ให้คะแนนเพลงเต็มสิบ ( มีประมาณ 5 เพลงได้มั๊ง) ดาราเอาไป 5 พอ รวมๆเราให้ 6.8 อ่ะ ไม่ชอบเนื้อเรื่องเท่าไหร่ แต่ชอบเพลง

6.Cherry Blossom- Hanami เรื่องนี้เป็นหนังเยอรมัน ก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่ทำหนังได้ดีมากๆ เรื่องนี้ก็สนุก ดูแล้วมันโหวงๆอยู่ข้างในเวลาดูจบ เป็นเรื่องของสามีภรรยาแก่คู่หนึ่ง ที่ภรรยาเอาใจใส่สามีมาตลอด แต่สามีก็ไม่เคยใส่ใจซักเท่าไหร่ จนวันหนึ่งภรรยาตายไป สามีถึงได้รู้ว่า ที่ผ่านมา เค้ารักภรรยาเค้ามากขนาดไหน ก็เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ภรรยาที่ตายไปแล้วอาจได้รับรู้ถึงสิ่งที่เค้าทำบ้าง ฟังแค่นี้ก็น้ำตาเริ่มๆซึมออกมาแล้ว
ดาราแก่ๆ ก็อย่างว่าว่า คงจะหาความสวยงามอะไรไม่ได้แล้ว แถมลูกๆที่แสดงในเรื่องก็นินทาพ่อ นินทาแม่ จนนึกสังเวชใจแทนสังคมฝรั่งว่า เค้าไม่แคร์พ่อแม่กันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย เถียงพ่อเถียงแม่ เกี่ยงกันดูแล พ่อแม่นไทยที่ชอบด่าว่าลูกๆ น่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะยังไงซะ สังคมไทยคงไม่ร้ายเท่าในหนังแหงๆ
หนังเนื้อเรืองโอเคเลย ดูแล้วน้ำตาพาลจะไหล หนังยาวอีกต่างหาก ดูกันเงกเลย เกือบสามชั่วโมง ฉากส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ตาแก่ที่ร่อนเร่ค้นหาสิ่งที่เมียตัวเองชอบ ก็คือ ผู้เขาไฟฟูจิ จนในที่สุดก็เจอแล้วก็ออกมาร่ายรำจนตายในตอนจบ
สรุป หนังค่อนข้างดูแล้วสะเทือนอารมณ์ แต่เราว่า ถ้าเรื่องนี้สร้างโดยคนเอเชียจะโนมากกว่านี้ แต่ไม่แน่ฝรั่งดูแล้วอาจชอบก็ได้ แต่เราว่ามันเยิ่นเย้อไปนิด เลยทำให้ไม่บีบคั้นอารมร์เราเท่าที่ควร แต่ยังไงเราก็ว่า ไอเดียเรืองนี้ดีหลายอย่าง มีฉากสะเทือนใจหลายฉาก ฉากเกี่ยงกันดูแลพ่อแม่นี่ติดตาเรามากที่สุด ทำลงไปด้าย ฉากวัยรุ่นสาวญี่ปุ่นเต้นระบำเงานี่ก็โคตรหลุดโลก ตาแก่นี่ก็บ้าไปเต้นกะเค้าด้วยเลยบ้าพอกัน แต่ก็ทำให้คนดูสะเทือนใจหนักเข้าไปอีก เพราะใครจะไปนึกว่า ฝรั่งมากแมนขนาดนั้นจะยอมใส่กระโปรงเมีย

ออกไปเดินกลางถนน เฮ้อ เอาไปเลย 7.2
7.The Sky , The Earth and The Rain เป็นหนังที่ดูไม่รู้เรื่องเลย ทั้งเรื่องพูดกันไม่ถึง 10 ประโยค ที่เหลือให้คนดูเดาเอาเองว่ามันทำอะไรกัน ดาราทั้งเรื่องมีไม่เกิน สามคนมั๊ง คนก็น้อย พูดก็น้อย เนื้อเรื่องก็น้อย คะแนนที่เราให้ก็เลยน้อยไปด้วย เอาไปแค่ 4 ก็พอ
แปลกดีนะ ทำไมหนังที่คนกล่าวขานกัน ถึงได้เป็นหนังแนวนี้เสมอก็ไม่รู้ แต่บทสรุปของเราก็คือ ดูไม่รู้เรื่องว่ะ จบดื้อๆ อีกต่างหาก
8.Coffe Faces เรื่องนี้เป็นหนังแนว สารคดีล่ะ ดูไปดูมา นึกว่าดูรายการกบนอกกะลาอยู่ เนื้อหาก็พูดถึงสามีภรรยาชาวเยอรมันคู่หนึ่งที่หันมาเอาดีทางการเปิดร้านขายกาแฟ ว่าแล้วคนถ่ายก้เร่เอากล้องไปถ่ายทำถึงบราซิลโน่น ไปตั้งแต่ไร่กาแฟ สัมภาษณ์คนปลูก เหมือนดูกบนอกกะลายังไงยังงั้นเลย ว่าแล้วก็ไล่ไปถึงคนขาย ก็เล่าว่า กาแฟมีอิทธิพลกับชีวิตคนยังไงมั่ง ก็พูดไป ก็ได้ความรู้ดี แต่ชีวิตเราเกิดมากินกาแฟนับถ้วยได้ เลยไม่ค่อยประทับใจเราซักเท่าไหร่ เราว่ากบนอกกะลามันส์กว่า
สรุป หนังได้รับเสียงปรบมือพอสมควร แต่เราว่าคนปรบมือคงไม่เคยดู รายการสารคดีของไทย อย่างคนค้นคน กบนอกกะลา ถ้าได้ดูแล้วจะต้องทึ่งฝีมือคนไทย เรื่องนี้เราว่าก็ทำได้ดีพอควรนะ ถ้าไม่เอารายการที่เราว่าเป้นมาตรฐาน เราให้คะแนนเรื่องนี้ 6.3

9.Chang Programme มาแล้วหนังไทยเรื่องแรกที่เราได้ดูในเทศกาลครั้งนี้ แถมเป็นสารคดีซะด้วย เป็นการถ่ายทำสารคดี ของคนเลี้ยงช้างสามคน ในเขตภาคเหนือ รู้สึกว่าจะเป็นเชียงใหม่ ว่าแต่ละคนรักช้างรักช้างและผูกพันกับช้างมากแค่ไหน บางคนเป็นชาวเขา ไม่น่าเชื่อว่า แต่ละคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนกรุงเทพบางคนซะอีก เยี่ยมมากๆ หนังถ่ายทำอิริยาบทของช้าง กับคน โดยเฉพาะลูกช้าง น่ารักมากๆๆๆๆๆ ท่าทางน่าเอ็นดู เหมือนดูเด็กๆเล่นกันเลย อีกครึ่งเรื่องเนแอนนิเมชั่น นิทานปรำปรา ของชาวเขา เกี่ยวกับช้าง เนื้อเรื่องหลอนมากๆ คนเลี้ยงช้างแต่งงาน สุดท้ายเมียตัวเองกลายเป็นช้างในที่สุด บรื๋อๆๆ
สรุป เรื่องนี้ พอฉายจบปุ๊บ ฝรั่งปรบมือกันสนั่นโรง เราก็พลอยปรบมือไปกับเค้าด้วย ( แบบงงๆ ) บรรยากาศแบบนี้แหละที่เราว่า หนังโรงธรรมดาไม่มี เราชอบความรู้สึกแบบนี้จังเลย เราว่าเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไรนะ นอกจากความใสของคนให้สัมภาษณ์ที่พูดจาตรงๆ ถึงความรักที่มีต่อช้างเป็นภาษาอังกฤษแบบซื่อๆ ตรงนี้ได้ใจคนดูไปเต็มๆแล้วอีกอย่าง นิทานที่เป็นแอนนิเมชั่นที่ว่า เราว่า เนื้อเรื่องมันติดตามากๆเลยนะ น่ากลัวอ่ะ เรื่องนี้ เราให้ 7.8

10. The Angelic Conversation หนังหลุดโลกมากที่สุด แต่มีคนดูเยอะมากๆ แต่ก็นั่นแหละ ดูได้แป๊บคนก็ออกกันไปเยอะเหมือนกัน เราเองก็เกือบจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ไม่รู้จะบรรยายยังไง ภาพในหนังมันติดหูติดตาสะบัดยังไงก็ไม่หลุดซักที บอกไม่ถูกเหมือนกัน หนัถ่ายทำแบบแปลกๆสีเป็นสีซีเปียออกแดงๆทั้งเรื่องเคลื่อนไหวแบบตะกุกตะกัก จะเป็นสโลโมชั่นก็ไม่เชิง แต่เคลื่อนไหวไม่ธรรมชาติช้ากว่าปกติซัก สองสเต็ปเห็นจะได้ แถม รายละเอียดก็ไม่ชัดเจน เป็นเหมือนถ่ายด้วยฟิล์มสิบหกมิล เพลงที่ประกอบก็เหมือนอยู่ในภวังค์ ฟังคล้ายๆเสียงฉาบผสมกํบฆ้อง แบบสไตล์เอเซีย เหง่งหง่าง โหม่งหม่างตลอดเรื่อง ดูอลังการ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงคอยอ่านบทกวีของเช็กเสปียร์ สาบานได้เลยว่าฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นภาษาโบราณ ฟังยากโคตร ดูภาพอย่างด้วยก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ฟังเสียงฆ้อง ฉาบ ผสม บทกวีแล้วจะบ้าตายยิ่งขึ้นไปอีก ไม่รู้เราทนนั่งจนหนังจบได้ไงตั้งเกือบสองชั่วโมง
สรุป เราว่าไม่ช่เราคนเดียวหรอกที่มีอาการแบบนี้ ไม่งั้นจะมีคนเดินออกจากโรงกอนหนังจบเรอะ แต่หนังประสพความสำเร็จอย่างหนึ่ง คือ สามารถทำให้เราจดจำภาพต่างๆ ประกอบเสียงฆ้อง ฉาบ บทกวี ไปจนวันตาย จะว่าไปมันคงตามหลอกหลอนไปอีกนาน เราให้สอบตกนะ เพราะไม่ใช่แนวที่เราปลื้ม แต่คนชอบก็คงมีแหละ เอาไป 4

11.Sell out เรื่องนี้เป็นหนังมาเลย์ สนุกสุดๆ เราดูหนังมาเลย์มาหลายเรื่อง ยงไม่เคยเจอเรื่องที่ไม่สนุกเลย สงสัยโชคดี 555 เนื้อเรื่องเสียดสีสังคมทีวี เรียลลิตี้มาเลย์สุดๆ ดูแล้วโคตรจี้ หัวเราะกับมุข ซึ่งก็คล้ายๆกับสังคมไทยแหละ หนังเรื่องนี้น่าจะโดนใจคนดูมากๆๆ เพราะตั๋วเต็ม คนต้องแย่งกันดู พระเอกหน้าตาคล้าย อัต อัษฏา ที่เป็นดีเจที่สิงคโปร์ ส่วนนางเอกหน้าตาหมวยมากๆ ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เหมือนคนขายเกาลัดแถวเยาวราช
สรุป ไม่มีอะไรเขียนถึงมากมายเท่าไหร่ เนื้อหาเสียดสีสังคมวงการบันเทิงที่เอาเรื่องความตายของคนมาเพื่อเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและผลลัพท์ทางการทำธุรกิจ โดยไม่สนใจเรื่องความเหมาะสมใดๆทั้งสิ้น เราชอบมุขตอนพระเอกไปใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปธนาคาร แล้วมีให้เสียงให้กดโน่นกดนี่ จนเหรียญหมดก็ยังไม่ได้คำตอบว่าทำไง เหมือนเมืองไทนชยมากๆเลย 5555 พูดแล้วก็ขำ เรื่องนี้เรายกให้เป็นหนังในดวงใจในงานนี้เลย เอาไปเลย 8.7

12.Sita Sings The Blues เรื่องนี้ก็มันส์โคตรๆๆๆๆๆๆๆ เป็นแอนิมั่นแบบง่ายๆ พุดถึงเรื่องรามเกียรติ์ น่าจะเป็นหนัง USA นะ วิเคราะห์รามายนะในมุมที่เรามองข้าม ไปอย่างน่าขบขัน ตลกมากๆเลย คนดูหัวเราะทั้งโรง ตัวการ์ตูนออกแบบได้น่ารักมากๆ สีสดสวยดี ดูแล้วอยากดูอีก แต่เด็กอาจดูไม่รู้เรื่อง เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้เรื่องรามายนะมากมั่ง ถึงจะดูสนุก อ้อ ขอบอกว่า เพลงที่ร้องในเรื่องเพราะมากกกกกกกกกกกกก เพราะทุกเพลงเลย ดูแล้วอยากซื้อเก็บไว้ รวมทั้งซีดีด้วย เอาไว้เปิดฟังในรถ น่ารักดี
สรุป เป็นอีกเรื่องที่ชอบเหมือนกัน ประทับใจในมุขตลกที่เข้าใจหยิบเอา วรรณคดีเรื่องดังมาวิจารณ์ผ่านการ์ตูน เป็นฉากๆ ดูสนุกเป็นที่สุด ไม่อยากให้จบเลย อยากให้มีต่อไปเรื่อยๆๆๆๆ เราให้ 9.2 เลยไม่หวงคะแนน อ้อ อีกอย่าง ขอบอกว่า คนดูหัวเราะเสียงดังมากๆๆๆ ตบมือกันกระหน่ำตอนจบเรื่องด้วยล่ะ

13. Chants of Lotus เรื่องนี้เป็นหนังอินโดนีเซียเพียงเรื่องเดียวในเทศกาลนี้ แต่ปริมาณไม่ใช่เรื่องสำคัญ เท่ากับคุณภาพของหนังเรื่องนี้ หนังแบ่งออกเป็น 3 เรื่องย่อย แต่ละเรื่องสะห้อนปัญหาสังคมของอินโดได้แบบแสบสุดๆ เรื่องแรกเป็นเรื่องของ เด็กปัญญาอ่อนถูกข่มขืนโดยวัยรุ่น สุดท้าย ไอ้วัยรุ่นก็ขอโทษโยเอาเงินมาให้ผู้ปกครองของเด็กนั่นเพื่อให้เรื่องจบ ทายซิว่ารับเงินหรือเปล่า รับเงินเฉยเลย แล้วเรื่องก็จบได้อย่างราบรื่นซะงั้น เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของสังคมนักศึกษาของอินโดที่หมกมุ่นและฟรีเรื่องเพศมากๆ เหมือนเป็นเกมส์สนุกๆในกลุ่มท้องก็ไปทำแท้ง ไม่แท้งก็จับฉลากกันว่า ใครจะได้แต่งงานเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบว่าทำผู้หญฺงท้อง หลังจากที่ช่วยกันลงแขกจนผู้หญิงท้องป่องแล้วไม่มีใครรับ เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของแม่หม้ายที่ติดเอดส์จากสามีที่ติดยาเสพติดจนตาย ต้องพาลูกกะเตงไปทั่วอินโด เพราะไม่มีใครต้อนรับเมื่อรู้ว่าเป็นเอดส์ ดูแล้วน่าสงสาร
สรุป หนังส้ะอนปัญหาในอินโด ได้ชัดมากๆ ดูแล้วงง นึกว่ามีแต่เมืองไทยที่มีปัญหาแบบนี้ ( พูดเล่นนะ ) ไม่น่าเชื่อว่า อินโด จะด้อยพัฒนากว่าเราเยอะขนาดนี้ ทุกๆด้านเลย ดูแล้วอึ้ง แต่เราชอบนะ หนังให้ข้อคิดเราเยอะดี เราให้ 8.5

14. A moment in June หนังไทยที่ตั๋วเต็มก่อนหนังฉายสามวัน ขอบอกว่าเต็มจริงๆนะ ไม่ได้แกล้งพูด เต็มทุกแถวเลย ขนาดแถวหน้าสุดยังมีคนนั่ง รอบที่เราดูเนรอบที่มีสัมภาษณ์ผู้กำกับด้วย เสียดายที่เราไม่ได้อยู่ดูจนจบสัมภาษณ์เพราะดึกแล้ว เราอยากรีบกลับบ้านมากกว่า
เรื่องนี้ มีชาคริต แสดงเป็นเกย์ด้วย เป็นหนังที่มีเนื้อหาแสดงถึงความรักระหว่างชายกับชาย ชายกับหญิง เราสรุปเอาเองว่า ไม่ว่าเป็นความรักแบบไหน ถ้ามีโอกาสที่จะได้แสดงความรักแล้ว อย่าปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไปเพราะว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองก็ได้
ใครๆก็อยากมาดู ชาคริต แสดงเป็นเกย์ แต่เชื่อมั๊ย เรากลับสะเทือนใจกับคู่ของ เดือนเต็ม กับ สุเชาว์ มากกว่า ดูแล้วเศร้าๆยังไงก็ไม่รู้ อีกคู่คือ คู่ของสินิทรากับ น้อยวงพรู ที่เล่นได้ดีมากกกกก สองคู่นี้ เราว่า เล่นเด่นจนกลบคู่ ชาคริตไปเลย ดูแล้วอินจริงๆ
เราว่าเนื้อเรื่องหนังดีนะ แม้บางตอนจะไม่สมจริงไปมั่ง อย่างตอนจบ ที่ชาคริตได้รู้ถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้น แล้วก็ยืนร้องไห้อยู่อย่างงั้น เป็นเราๆจะไม่ทำอย่างนัหรอก เป็นเราจริงๆเราคงวิ่งหรือไม่ก็โทรศัพท์ไปทุกโรงพยาบาลเลยว่า ตอนนี้ คนที่เรารักอยู่ที่ไหน จะได้ไปดูใจให้ถึงที่ นี่อะไร แค่ร้องไห้ ไม่ทำอะไรเลย ให้คะแนนเรื่องเนื้อหา ตัวแสดง ประกอบ เล่นดีสุดๆ ยกเว้นคู่เอก การลำดับเรื่องที่ค่อยๆเผยปมออกมาตอนใกล้ๆจบ การตัดต่อภาพ โดยอาศัยละครเวทีกับชีวิตจริงทำได้ดีมากๆ ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่ดูหนังมา ยังไม่เคยเห้นหนังเรื่องไหนทำได้ดีเท่านี้มาก่อน
สรุป ชอบนะ รวมๆแล้วโอเคมากๆ จะให้คะแนนเท่าไหร่ดี เราให้ 9 ก็แล้วกัน สำหรับ วิธีการนำเสนอใหม่ๆ กับ ดาราประกอบในเรื่อง จะหักคะแนนก็ตรง คู่เอกที่ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ อย่างอื่นดีหมดเลย