
มีโอกาสไปเดินเล่นที่เดอะมอลลบางกะปิเมื่อบ่ายวันนี้ พอดีเค้าจัดรายการ โปรโมชั่น กับร่านขายวีซีดี มี ดีวีดี ด้วย ก็เดินเข้าไปดูแบบไม่มีเป้าหมายว่าจะซื้อะไร ก็เล็งๆหนังดีดี ไว้ เรื่องสองเรื่อง เราไปเลือกตรงกองที่ราคาถูกๆตามสไตล์คนประหยัด ( ขี้เหนียว ) ฉับพลันสายตาก็มองไปเห็นหนังเรื่องนึงเค้า แค่ปกดีวีดี และชื่อเรื่องก้ทำให้ความคิดของเราย้อนกลับไปเมื่อ สองปีก่อนที่ สยามพารากอน ราวกับนั่งไทม์แมชชีนกลับไปไวเหมือนโกหก หนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า Sunflower
เปล่าไม่ใช่หนังฝรั่งหรอก คิดเหมือนเราเมื่อตอนนั้นเลยว่า เป็นหนังฝรั่งแหงๆ เราได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ เมื่อประมาณ กุมภาพันธ์ปี 2006 ที่สยามพารากอน ตอนนั้นเพิ่งเปิดห้างได้ม่นาน ทางสยามพารากอนชั้นห้า ก็ได้จัดเทศกาลภาพยนต์นานาชาติ กรุงเทพ ขึ้น และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้มีโอกาสไปร่วมงานเทศกาลหนังแบบนี้ ตอนนั้นเราจำได้ว่า เราลาพักร้อนเลบนะ 3 วัน เพื่อจะไปดูหนังที่นี่ทุกวัน และเชื่อมั๊ยเราดูหนังไปทั้งหมด 30 กว่าเรื่อง ( จากทั้งหมดประมาณ 200 กว่าเรื่องนะ ) ถือว่าเยอะมาก จริงๆถ้าเรามีเวลากกว่าน้ เราว่าเราคงได้ดูมากกว่านี้แน่ๆ ( หนังที่เราเลือกดู ต้องใช้คำว่าเลือกดูเพราะว่า หนังดีดี เข้าโรงพร้อมกันหลายเรื่องมาก เราต้องตัดใจจากบางเรื่องเพื่อดูเรื่องที่อยากดูจริงๆ แล้วแถม

ต้องบริหารเวลาด้วยว่า ดูยังไงให้ได้จำนวนมากที่สุด ) จำได้ว่า เราไปที่นั่นตั้งแต่ เช้าเลย เพื่อจัดตารางเวลาว่า จะเลือกดูเรื่องอะไรบ้าง ขนาดกินข้าวเรายั้งต้องคิดเลฃว่า วันนั้นจะกินอะไร แล้วก็ซื้อเก็บไว้ในกระเป๋า เพื่อเอาเข้าไปกินในโรง ส่วนใหญ่ก็เป็นพวก แฮมเบอร์เกอร์ แซนวิช ไก่ทอด เปาะเปี๊ย ฯลฯ พวกนี้แหละ เพราะหยิบง่าย กินสะดวก ที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำเปล่า และน้ำอัดลมกระป๋อง ตุนเข้าไปเลย 2-3 กระป๋อง ขาดไม่ได้เลย
เข้าเรื่องดีกว่า รอบที่เราดูเราจำได้ว่า ป็นรอบ สองทุ่ม ฉายจบก็ประมาณ สี่ทุ่มกว่าๆ อ้อ ลืมเล่าไปว่า เราซื้อตั๋วแบบเหมาจ่ายนะ ทำให้ได้ดูหนังเยอะๆในราคาถูกๆ เพราะเรามั่นใจว่า เราทำได้อยู่แล้ว 555555 ตกเรื่องนึง 40 บาทเองมั๊ง ไม่รู้จำผิดหรือเปล่า จริงๆตอนแรกเรากะว่าจะดูอีกเรื่องนึง รู้สึกจะเป็ฯ Match Point มั้ง แต่ว่าที่นั่งเต็มจองไม่ทัน
แปลกใจที่ตอนเข้าไปคนดูตรึมเลย แสดงว่าเราตัดสินใจไม่ผิด นึกเข้าข้างตัวเองในใจ หนังเป็นหนังจากจีน




แผ่นดินใหญ่ ดาราที่แสดงเราไม่รู้จัก ไม่คุ้นหน้าเลยสักคน เรื่องราวเป็นเรื่องของ พ่อแม่ลูก ในเขตชานเมือง พ่อของครอบครัวต้องจากครอบครัวไปรับใช้ชาตตั้งแต่ลูกเกิด ปล่อยให้ แม่เลี้ยงลูกจนอายุซัก 7-8 ขวบ พอพ่อกลับมา ซึ่งความผูกพันก็ไม่ค่อยดีนัก พ่อซึ่งแต่เดิมเป็นนักเขียน หลังจากกลับมาคราวนี้แล้ว ความสามารถทางการวาดรูปของพ่อเสียไป ความหวังของพ่อจึงทุ่มมาที่ลูกชายคนเดียวอย่างเต็มที่ พยายามเคี่ยวเข็ย จนลูกวาดรูปเก่ง ท้านที่สุด ลูกประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นนักวาดรูปชื่อดัง มีงานแสดงภาพเป็นของตัวเอง น่คือเนื้อเรื่องคร่าวๆ ฟังดูแค่นี้ ก็เอ๊ะ ก็ดีนี่ ชีวิตก็ราบรื่นดี แต่ถ้าคนที่มาจากครอบครัวคนจีนจะทราบดีว่า

พ่อแม่ในครอบครัวคนจีน ( ในประเทศไทยเองก็เถอะ ) ค่อนข้างที่จะขีด


เส้นกรอบความคิดของลูก พ่อแม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับลูกให้ทำอะไร

ก็ได้ ( วัฒนธรรมจีนเก่าๆ เป็นอย่างนี้ จริงๆ ) มีฉากที่สะเทือนใจหลายฉาก เช่นฉากที่ลูกพยายามแอนตี้พ่อ โดยการเอามือไปขูดกับกำแพง เพื่อให้มือบาดเจ็บจะได้ใม่ต้องวาดรูป หรือ ตอนที่ลูกชายพยายามเอามือเข้าไปในจักรเย็บผ้า เพื่อให้เข็มผ้าเย็บมือ จนในที่สุด เจ้าลูกชายเอามือไปกำประทัดยักษ์ เพื่อให้มือเละ จะได้ไม่ต้องถูกพ่อเคี่ยวเข็ญอีก
ฉากที่เศ้าที่สุดน่าจะเป็น ตอนที่พ่อหายหน้าไปหลายวัน แล้วทุกคนเข้าไปตามที่บ้านที่พ่ออยู่ แต่ไม่เจออะไร เมื่อลองกดเทปคาสเส็ทดูปรากฎว่า มีเสียงพ่อพูดอยู่ข้างใน เราจำเนื้อความไม่ได้ทั้งหมด จำได้แต่ว่า เป็นเสียงพ่อพูด ขอโทษต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อรักแม่และลูกที่สุดในโลก แต่ไม่รุ้วิธีการแสดงออกว่า ควรทำอย่างไรจึงจะรัก และ สอนลูกได้ดีในเวลาเดียวกัน ได้แต่ทำตามวิธีของตัวเอง ฯลฯ ต้องฟังดู ( หนังพูดภาษาจีน แต่เราต้องอ่านภาษาอังกฤษเอา แต่ก็ซึ้งมากกกกกก จริงๆภา

ษาจีนกลาง ก็ฟังออกบ้างนะ แต่เพื่อ

ความชัวร์ เอามันทั้งสองภาษาเลย) ตอนจบนดู ซึ่งเป็นฝรั่งส่วนใหญ่ ตบมือกันให้ก้องทั้งโรงเลย เราก็ตบไปด้วย สมควรได้รับการตบมือจริงๆแหละ นี่แหละ เราถึงชอบบรรยากาศของการดูหนัง รู้สึกมันมีส่วนร่วมกันกับคนดูนอื่นๆ ดีกว่าดูดีวีดี อยู่ที่บ้านคนเดียว เซ็งแย่เลย
Labels: Asian Movie, Drama, Zhang Yang