Friday, May 2, 2008,5/02/2008 03:02:00 PM
Syndromes and a Century : แสงศตวรรษ


ได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญที่สยามพารากอน คือตั้งใจจะไปดูเรื่องอื่น แต่เห็น Japanese Flag ที่หน้าลิฟท์ อ่านดูปรากฎว่า ฉายวันแรกซะด้วย เลยรีบวิ่งไปที่ช่องขายตั๋ว
ตั๋วราคา 180 บาท แถมฝาบีอิ้งก็ลดราคาไม่ได้ด้วย เอาวะ ดูก็ดู ( มารู้ทีหลังว่า ตัดสินใจถูกแล้วที่เข้าไปดู เพราะว่า ทั้งประเทศฉายโรงนี้โรงเดียว ถ้าไม่ดูวันนั้น วันหลังต้องไปอีก เสียดายค่ารถแย่เลย 5555 ) พอจ่ายตังค์ค่าตั๋วเสร็จ น้องคนสวยที่ช่องขายตั๋วก็บอกว่า หนังมีเซ็นเซอร์นะคะ อ้าวเป็นหนังโป๊หรือครับ ปากผมก็ถามไปอย่างนั้น แต่ในใจนึกดีใจ น้องคนสวยก็ยิ้มแล้วตอบมาว่า อ๋อไม่ใช่ค่ะ คือหนังถูกกรรมการเซ็นเซอร์หั่นน่ะค่ะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันยังไม่ได้ดู ถูกตอนทั้งหมด 6 ตอนนะคะ ตอนละประมาณ 5 นาทีค่ะ อ้าว แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ ซื้อตั๋วไปแล้วนี่ โธ่
เข้าไปในโรงหนังหมายเลขที่ 5 ก็ดูดีสะอาดตาเหมือนเดิม มีคนเยอะเหมือนกันนะ ทำเป็นเล่นไป นี่ขนาดรอบแรกนะเนี่ย แสดงว่ารอบนี้ไม่ขาดทุนแหงๆ
ตัวผมเองเป็นคนชอบหนัง indy อยู่แล้วแถมเรื่องนี้ กำกับโดย อภิชาติพงษ์ วรเศรษฐกุล ถ้าจำไม่ผิดคนนี้เค้าคว้ารางวัลระดับโลกมาหลายครั้งแล้ว รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย รู้สึกว่าล่าสุดจะเป็นเรื่องสัตว์ประหลาด นะ ได้ดูเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครจะว่ายังไง แต่เราชอบหนังเค้าอ่ะ ใครๆก็บอกว่าดูไม่รู้เรื่อง แต่เราว่า หนังเค้ามีเสนห์ตรงนี้แหละ เหมือนคนดูภาพ Abstract แล้วก็อาศัยประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนในการวิเคราะห์เรื่องราวไปตามอารมณ์ ตามความรู้สึกขณะนั้นๆ เราดูหนังของเค้าแต่ละเรื่องไม่ต่ำกว่า 3 หน แต่ละครั้งก็ได้อารมณ์ความรู้สึกที่ต่างๆกันไปทุกครั้งเลย นี่แหละ เสน่ห์ของหนังคุณ อภิชาติ ตามความรู้สึกของผม
หนังดำเนินเรื่องในชุมชนต่างจังหวัด เกี่ยวกกับหมอผู้หญิงที่ทำงานต่างจังหวัด แล้วเจอคนไข้แปลกๆ ขี้เกียจเล่าเรื่องเพราะดูซ้อนไปซ้อนมาชอบกล ( แต่ก็ยังชอบอยู่ดี ผมได้แนบเรื่องย่อมาด้านล่างแต่อ่านเท่าไหร่ ก็ไม่ได้อารมณืเหมือนไปดูเอง) ดูไปดูมาอยู่ดีดี อ้าวจอมืดเฉยเลย มีเส้นสีเขียวๆวิ่งขึ้นลงในแนวตั้ง อ๋อ อย่างนี้นี่เองที่เค้าเรียกกันว่า เซ็นเซอร์ของเมืองไทย จอมืดไปประมาณ 3 นาที นานนะนั่น ลองนกสภาพที่เราดูเส้นสีเขียววิ่งขึ้นลง สามนาที แล้วจะรู้วาเซ็งขนาดไหน แต่เราก็เห็นข้อดีนะ
ก็คือว่า ทำให้เรารู้ ว่าช่วงนี้ มีการตัดออกนานแค่ไหน เราก็จินตนาการไปสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง 555 พอจอสว่าง แน่นอนไม่ตรงกับที่คิดไว้หรอก 5555
อีกอย่างก็คือทำให้เราได้รู้ว่า มีเทคนิคการหั่นหนังแบบนี้ ด้วย เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ดีเหมือนกันได้เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต จะได้เอาไปคุยได้ว่า เคยเห็นแล้ว ที่เมืองไทย
เชื่อมั๊ย จอดำนี่เกิดขึ้น หก ครั้งจริงๆด้วย ห่างกันไม่นานเลย ซัก 10 -15 นาทีเกิดทีนึง มีอยู่ครั้งหนึ่งจอมืดนานมาก จนเรานึกว่า คนฉายลืมฉายต่อหรือเปล่า โชคดีที่มีเส้นสีเขียวในจอทำให้เรารู้ว่า หนังไม่ได้ขาดหรอก
เราอยากซื้อ DVD มาดูที่บ้านอ่ะ จะได้รู้ว่า กรรมการ เค้ามีความคิดเห็นยังไงที่ตัดตอนนั้นๆออก อ๋อ พูดถึงตรงนี้ เราจำได้แล้ว ก่อนที่หนังจะฉาย มันจะมี คำอธิบายไว้ว่า หนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่มีเนื้อหา ทำลายสังคมไทยที่ดี ทำลายวิชาชีพแพทย์ ฯลฯ เพราะฉะนั้นต้องตัดออกบางตอน มีงี้ด้วย เออ อยากทำอะไรก็ทำ หวังว่าใน DVD คงไม่โดนเฉือนออกนะ
สรุปแล้ว เรื่องนี้ เราชอบนะ ก็เหมือนทุกเรื่องของคุณ อภิชาติ แหละ แต่เรื่องนี้ ชอบมากกว่า เพราะดูรู้เรื่องมากขึ้น ถึงแม้ว่า จะโดนเฉือนออกตั้ง หก ตอนแสดงว่า เค้ากล้านำเสนอความคิด มุมมอง ออกมาจริงๆ แต่เรางงอย่าง ว่า เวลาตัดสิน ภาพยนต์ว่าเรื่องไหนควรได้ไม่ควรได้ รางวัล ตัดสินยังไง เพราะเราดูแล้ว มกล้องต่างๆเหมือนเราถ่ายหนังดูกันเองอ่ะ หรือว่าเค้าตั้งใจให้เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หนังแนวนี้ คนส่วนใหญ่คงไม่ค่อยชอบดูกันมั๊ง แต่เราชอบ เราจะให้ 8.5 / 10
ข้างล่างนี้ เป็น ส่วนหนึ่งที่คัดลอกมาจาก http://movie.mthai.com/
แสงศตวรรษ คือหนังที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน 2 ตัวละครหลักในเรื่องกำเนิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากชีวิตพ่อและแม่ ของผู้สร้างภาพยนตร์ในช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะเป็นคู่รักกัน ช่วงแรกของหนังเล่าถึงคุณหมอสาว ท่ามกลางฉากหลังซึ่งเป็นพื้นที่คลับคล้ายกับโลกที่ผู้สร้างภาพยนตร์เกิดและเติบโตขึ้น ส่วนในช่วงที่ 2 เล่าถึงคุณหมอชายบนฉากหลังอันเป็นพื้นที่ร่วมสมัย เช่นเดียวกับกับโลกซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์กำลังอาศัยอยู่ในปัจจุบัน
แสงศตวรรษ เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิต ภาพยนตร์จะให้ความสนใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิต และเปรียบเทียบความงาม ของสถาปัตยกรรม ทั้งจากอดีต และปัจจุบัน เพื่อที่จะเน้นจินตนาการของผู้ชมถึงสิ่งที่จะ ตามมาในอนาคต ราวกับว่าภาพยนตร์เหมือนกับแก้วเจียรนัยที่สดใส ที่อุทิศให้แก่ผู้ที่ให้ชีวิตแก่ผู้สร้าง
ห้วงความทรงจำที่ 1ความงามของอาชีพแพทย์ในความทรงจำของแพทย์หญิงที่ทำงานที่โรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ภาพยนตร์เริ่มด้วยชีวิตประจำวันของแพทย์หญิงเตย ที่ต้องสัมภาษณ์นายแพทย์หน่อง แพทย์ทหาร ที่มาฝึกงาน ขณะเดียวกันแพทย์หญิงเตยก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อโต๋มาเฝ้าติดตาม ที่โรงพยาบาล เขาเอาของฝากมาให้เธอและพยายามเอาใจเธออย่างเขินอาย ตามประสาคนที่เพิ่งเคยมีความรัก
เช้าวันนั้น แพทย์หญิงเตยได้พยายามเลี่ยงโต๋ โดยมาตรวจโรคให้กับพระสูงอายุที่มากับพระผู้ติดตาม ชื่อว่าพระศักดิ์ดา เธอมีความประหลาดใจอย่างมากต่ออาการของหลวงตา ผู้มีอาการเจ็บขาอย่าง ประหลาด ท่านเชื่อว่าเกิดมาจากการต้องชดใช้กรรมที่ท่านได้ทำกับฝูงไก่ที่หมู่บ้าน
ในเวลาต่อมาพระหนุ่มศักดิ์ดาได้รับการขูดหินปูนที่แผนกทันตกรรมโดยทันตแพทย์ชื่อเปิ้ล บรรยากาศ เป็นไปอย่างปลอดโปร่ง ทั้งสองคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมานาน เปิ้ลได้กล่าวว่านอกจากเขาจะเป็น ทันตแพทย์แล้วเขายังเป็นนักร้องมืออาชีพอีกด้วย และเขาก็ร้องเพลงให้พระศักดิ์ดาฟังอย่างไพเราะ
ตอนสายในวันเดียวกันนั้น โต๋ได้สะกดรอยตามแพทย์หญิงเตยและได้สารภาพรักกับเธอ เขาขอหมั้นกับเธออย่างตรงไปตรงมา เธอได้บอกกับเขาว่าเธอกำลังดูใจกับชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ ชื่อหนุ่ม เป็นเจ้าของฟาร์มกล้วยไม้ที่มาออกงานเกษตรแฟร์เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
แพทย์หญิงเตยเล่าเรื่องการไปเยี่ยมฟาร์มกล้วยไม้ของหนุ่ม.ที่ต่างจังหวัดให้โต๋ฟัง เธอได้ไปทานข้าว กลางวันกับเขาที่ริมเขื่อน พร้อมกับพนักงานที่ฟาร์มของเขาชื่อเจนจิรา หญิงวัยกลางคน ที่มีรอยยิ้มที่พิศวง เธอสนิทกับเจนจิราอย่างรวดเร็วและได้คุยเรื่องชีวิตกันอย่างสบายๆ ที่ฟาร์ม กล้วยไม้แห่งนั้น เจนจิราเล่าเรื่องปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นที่ฟาร์มในวันที่เกิดสุริยุปราคา เบื้องบน แสงอาทิตย์ค่อยๆ ถูกบดบังด้วยเงาเสี้ยววงกลม และแพทย์หญิงเตยสารภาพความรักที่มีต่อหนุ่มให้เจนจิราฟัง
ห้วงความทรงจำที่ 2มีการย้อนการแสดงของเรื่องราวจากห้วงความทรงจำที่ผ่านมา โดยมีการแสดง ณ สถานที่ใหม่ คือโรงพยาบาลในเมือง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่โตและเต็มไปด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ภาพยนตร์เริ่มด้วยการสัมภาษณ์แพทย์ทหารที่มาฝึกงาน คือนายแพทย์หน่อง? ขณะเดียวกันแพทย์หญิง เตยก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อโต๋มาเฝ้าติดตามเธอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย เช้าวันนั้น เธอได้พบกับหลวงตาและพระศักดิ์ดาอีกเช่นเคย เหมือนกับเป็นความทรงจำที่ย้อนอดีต หรือราวกับภาพยนตร์ที่ถูกเล่นซ้ำ พระศักดิ์ดาได้รับการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์เปิ้ลอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน โต๋ได้เอาผ้าไหมมาให้แพทย์หญิงเตย เธอได้ขอบคุณเขาอย่างสุภาพ แต่เธอไม่รู้จะ บอกเขาอย่างไรดีว่าเธอ ไม่ได้ชอบพอกับเขา สุดท้าย เธอตัดสินใจหนีจากโรงพยาบาล
อีกมุมหนึ่งของโรงพยาบาล นายแพทย์หน่องได้เรียนรู้โรงพยาบาลใหม่ เราติดตามการทำงานของเขา และความงามของสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย มีการแข่งกีฬาสีที่โรงพยาบาล ดังนั้นเขาจึงมักพบเห็นนักกีฬาที่ใส่เสื้อหลาก สีเดินไปมา นายแพทย์หน่องตัดสินใจไปเยี่ยมเพื่อนที่แผนกกายภาพบำบัด ทั้งคู่ได้คุยกับพยาบาลหญิงและคนไข้ที่มา รักษาอย่างน่าสนใจ เพื่อนของนายแพทย์หน่อง นำเขาไปชั้นใต้ดินซึ่งเป็นห้องผลิตอุปกรณ์ขาเทียม ซึ่งเป็นแผนกที่งานสถาปัตยกรรมที่ลึกลับและงดงาม เต็มไปด้วยคนพิการ
นายแพทย์หน่องได้พบกับแพทย์หญิงวัยใกล้เกษียณที่แอบมาทานเหล้าในห้องใต้ดิน ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็พยายามรักษาเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาทางสมอง เรื่องราวดำเนินไปอย่างมีอารมณ์ขันและลึกลับ ในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งช่วงเย็น คู่รักของนายแพทย์หน่องชื่อจอยได้มาหาที่โรงพยาบาล ทั้งคู่จูบกันอย่างดูดดื่มและคุยกันเบาๆ ถึงเรื่องอนาคตที่ริมหน้าต่าง เธอกำลังจะจากเขาไปทำงานที่อื่น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังจะจบลง แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงมันตรงๆ ภายนอก ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สาดส่งแสงสีส้มทองทั่วโรงพยาบาล ผู้คนกำลังออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า คู่รักที่พยายามจะรักษาความทรงจำที่ดีๆ เอาไว้ตลอดกาล

PRE-PRODUCTION STATEMENTแถลงการณ์ก่อนถ่ายทำ
ตอนยังเด็ก ผมอาศัยอยู่ในละแวกโรงพยาบาลนานถึง 12 ปี พ่อแม่ของผมที่เป็นหมอเลี้ยงพวกเราพี่น้องในบ้านพัก ของโรงพยาบาลเล็กๆ ที่ทั้งคู่ทำงาน แม่ชอบพาผมไปที่ทำงาน ซึ่งเป็นห้องทึมๆ ที่หันหน้าไปทางแผนกคนไข้เด็ก แล้วห้องนี้ก็กลายมาเป็นสนามเด็กเล่นของผม มันเป็นสถานีที่ผมจะใช้จ้องมองผู้คน ใกล้ๆ กันคือบึงน้ำที่คนไข้กับญาติๆ ที่ตามมาเฝ้าไข้จะพากันให้อาหารปลา และถ้ามองผ่านทางหน้าต่างห้องออกไปก็จะเห็นคนนั่งท่ามกลางแสงแดด กินข้าวและนอนหลับกันอยู่ตามทางเดินระหว่างตึก... เมื่อนึกย้อนกลับไป ผมรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเชื่องช้า ราวภาพสโลว์โมชั่น
ไม่นานมานี้ผมกลับไปที่โรงพยาบาล แล้วก็พบว่าตัวเองหลงทาง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด พื้นที่ที่ผมคุ้นเคยหายไปเสียแล้ว ในฐานะคนทำหนัง ผมเคยรู้สึกตื่นเต้นกับพื้นที่ของเมืองเล็กๆ และภูมิทัศน์ของมัน แต่ผมไม่เคยนึกถึงจริงจังเกี่ยวกับที่ซึ่งครอบครัวผมเคยอยู่มาก่อน ตอนนี้บ้านเกิดของผมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มันกลายเป็นเหมือนกรุงเทพฯ มากขึ้นเรื่อยๆ และความทรงจำของผมที่มีต่อพื้นที่ที่หายไปก็ยิ่งเลือนลาง ขณะที่กระแสโลกาภิวัฒน์กำลังซัดกระทบวิถีชีวิตและวิธีการทำหนัง ความปรารถนาของผมในการทำสิ่งรำลึก ถึงเรื่องส่วนตัวอย่างแท้จริงก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
‘แสงศตวรรษ’ สร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล ‘นิว คราวน์ โฮป’ อันเป็นโครงการเพื่อสำรวจการจดจำของคน ว่าความสุขนั้นสามารถถูกจุดประกายขึ้นได้จากสิ่งเล็กน้อยที่ดูไม่สลักสำคัญ หนังเรื่องนี้คือการทดลองสร้างชีวิต ของพ่อและแม่ในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเกิด รวมถึงชีวิตของผู้คนที่กระทบใจผมในปัจจุบันด้วย มันจะเป็นการตีความถึงวิถีชีวิตอันลางเลือนในความรู้สึก เป็นการตีความสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลมาตลอด และเป็นการตีความชีวิตของผู้คนร่วมสมัยที่อยู่รายรอบตัวผม เวลาได้ถูกทลายลงเพื่อจำลองรูปแบบของการจดจำ และเพื่อแถลงความเชื่อของผมในเรื่องการกลับชาติมาเกิด เราต่างเกิดใหม่อยู่ตลอด สร้างบาปกรรม และเรียนรู้จากชีวิตที่ใช้มาต่อเนื่อง เพื่อจะพบกับความสุขจริงแท้สักวันหนึ่งในท้ายที่สุด
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล (เขียนขึ้นปี 2005 ก่อนการถ่ายทำ)

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9

Labels: , , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink