Tuesday, September 23, 2008,9/23/2008 02:00:00 AM
Mamma Mia!: มัมมา มีอา!
บอกได้คำเดียวว่าสนุกมากกๆๆ
เราไปดูหนังเรื่องนี้ รอบแรกเลย ที่ SF บางกะปิ แถมโรงที่ดูก็เป็นโรงดิจิตอล อีกต่างหาก ภาพเลยชัดสะใจ เนื้อเรื่องก็อย่างที่ข้างล่างเขียนไว้แหละ น่ารักดี แต่ที่ประทับใจเห็นจะเป็นดาราที่เล่นทุกคน เล่นดีมากๆ น่ารักทุกคนเลย เก่งมากๆ แต่ที่สุดดๆๆๆๆสำหรับเรื่องนี้ คือเพลง โคตรเพราะ เพราะมากๆๆๆๆ ทั้งเพลงช้าเพลงเร็ว เพลงซึ้ง สารพัด ที่ยัดเข้ามาในเรื่อง ถ้าไม่ได้ดูเสียดายตายเลย นี่ก็กำลังคิดว่าจะไปหาซื้อแผ่นซีดีเพลงในเรื่องมานั่งฟัง นอนฟัง ให้ฉ่ำใจเลยนะเนี่ย
ขอย้ำอีกครั้งสำหรับ ดาราในดวงใจเรา เมอรีล สตรีพ เราดูหนังของเธอแทบทุกเรื่อง เพราะตีบทแตกกระจุยกระจายไม่น่าเชื่อว่าจะ หกสิบแล้ว ดูดีมาก เสียอย่างดู อ้วนไปหน่อย จำด้ตอนสาวๆ สวยสง่า หุ่นดีโคตร นี่แหละน้า สังขารไม่เที่ยงจริงๆ
สรุป เอาไปเลย 9 สำหรับ ช่วงนี้ ที่ไม่มีหนังอะไรดีดีออกมาเลย เรื่องนี้ แซงโค้ง ตอนแรกนึกว่าหนังเฮงซวยที่ไหนได้ โคตรสนุก นางเอกน่ารัก เรื่องฉากไม่ต้องห่วง เพราะไปถ่ายทำที่ประเทศกรีก สวยโคตรๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไง สีน้ำทะเล สวยจริงๆ เห็นแล้วอยากทาสีบ้านเป็นสีนี้ บอกอีกทีว่าถ้าม่ได้ดูหนังเพลงเรื่องนี้ จะเสียดาย มากกๆๆๆๆๆ เพลงเพราะโคตร
เนื้อเรื่องย่อ จาก http://www.majorcineplex.com/
มันคือปี 1999 บนเกาะคาโลไกริที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของกรีก การผจญภัยสุดโรแมนติคของเราเริ่มต้นขึ้นที่โรงแรมวิลล่า ดอนน่า ในเมดิเตอร์เรเนี่ยน ที่ดำเนินธุรกิจโดยดอนน่า (เมอริล สตรีพ), โซฟี(อาแมนด้า ไซเฟร็ด) ลูกสาวของเธอ และสกาย(โดมินิค คูเปอร์) คู่หมั้นของโซฟี
ขณะที่รอเวลาให้ถึงวันวิวาห์ที่ใกล้เข้ามา โซฟีได้ส่งบัตรเชิญงานแต่งงานของเธอ (“I Have a Dream”) ไปให้ชายสามคน ซึ่งโซฟีเชื่อว่าพวกเขาแต่ละคนมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ของเธอ จากสามนครใหญ่ในอีกฟากโลก ชายสามคนได้เดินทางกลับมาเยือนเกาะสวรรค์แห่งนี้ และได้พบกับผู้หญิงที่เคยทำให้พวกเขาแต่ละคนหลงใหลเมื่อ 20 ปีก่อน
ย้อนกลับไปที่เกาะแห่งนี้ ดอนน่ากำลังกระตุ้นให้ลูกน้องของเธอเตรียมรับวันที่แสนยุ่งเหยิงเมื่อบรรดา เพื่อนเจ้าสาวของโซฟีมาถึง และเธอได้เล่าให้เพื่อนๆ ของเธอฟังถึงความลับที่เป็นเรื่องอื้อฉาว โซฟีค้นเจอสมุดบันทึกของแม่ และรู้ว่ามีผู้ชายสามคนที่อาจเป็นพ่อแท้ๆ ของเธอ เริ่มจากนักธุรกิจ แซม คาร์ไมเคิล (เพียร์ซ บรอสแนน), นักผจญภัย บิลล์ แอนเดอร์สัน (สเตลแลน สการ์สการ์ด) และนายธนาคาร แฮร์รี่ ไบรท์ (โคลิน เฟิร์ธ) โซฟีได้จัดการเชิญชายทั้งสามคนมางานแต่งงานของเธอ (“Honey, Honey”) โดยไม่บอกให้แม่รู้ เธอเชื่อว่าหลังจากเธอได้ลองใช้เวลาคลุกคลีกับชายทั้งสามแล้ว เธอจะรู้ได้ว่าใครคือพ่อที่แท้จริงของเธอ
ขณะเดียวกันนั้น แซม, บิลล์ และแฮร์รี่ ซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน ได้เดินทางมาถึงกรีก และได้พบกันที่ท่าเรือ แซมกับแฮร์รี่เกิดพลาดเรือเฟอร์รี่ที่เดินทางไปยังเกาะคาโลไกริ บิลล์จึงเสนอให้พวกเขาขึ้นเรือยอร์ชเพื่อไปพบกับผู้หญิงที่เคยหักอกพวกเขา เมื่อ 20 ปีก่อน
ย้อนกลับไปที่คาโลไกริ ดอนน่ารู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นที่ได้กลับมาพบกับบรรดาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่และ อดีตเพื่อนร่วมวงดนตรี “Donna and The Dynamos” อันประกอบไปด้วยโรซี่(จูลี่ วอลเตอร์ส)เจ้าคารมคมคาย และม่ายหย่าสามีผู้ร่ำรวย ทันย่า (คริสติน บาแรนสกี้) และเธอได้เปิดเผยถึงความสงสัยที่เธอมีต่อความต้องการของลูกสาวที่ต้องการจะแต่งงานตามประเพณีดั้งเดิม
ที่วิลล่า โซฟีได้แนะนำให้ทันย่าและโรซี่รู้จักกับสกาย คนรักของเธอ และยังเล่าให้พวกเธอฟังถึงไอเดียของเธอกับสกายที่อยากจะออกแบบเว็บไซต์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังเกาะสวรรค์แห่งนี้ ดอนน่าได้เล่าให้เพื่อนๆ ของเธอฟังถึงสภาพการเงินอันง่อนแง่นของเธอ (“Money, Money, Money”) ขณะที่เธอพาเพื่อนๆ ทัวร์รอบวิลล่า และเพราะมีผู้ชายตามจีบอยู่หลายคน ดอนน่าจึงนั่งฝันถึง “โลกของผู้ชายรวยๆ” ซึ่งจะทำให้เธอได้นอนอาบแดดอยู่บนเรือยอร์ช และมีคนคอยเอาอกเอาใจพะเน้าพะนอ แต่แล้ว สติของดอนน่าถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้งเมื่อเกิดเสียงดังขึ้นที่ สนามหญ้า
ชายทั้งสามคนเดินทางมาถึงแล้ว และโซฟีพยายามแอบพาทั้งสามคนไปยังห้องพักที่เธอจัดไว้ให้ และอธิบายให้ทั้งสามคนฟังว่าเธอต่างหากที่เป็นคนส่งบัตรเชิญไปให้ ไม่ใช่แม่ของเธอเป็นคนส่งไป เธอขอร้องให้ชายทั้งสามแอบซ่อนตัวก่อน เพื่อให้ดอนน่าได้แปลกใจในงานแต่งงาน กับการได้พบเพื่อนเก่าที่เธอมักจะบ่นถึงเป็นประจำ พวกเขาได้ยินเสียงดอนน่ากำลังทำงานอยู่ที่ห้องเก็บของด้านล่าง ชายทั้งสามคนสาบานกับโซฟีว่าพวกเขาจะไม่เปิดเผยความลับของเธอ โซฟีจึงปีนออกไปทางหน้าต่าง พอดีกับที่ดอนน่าแอบมองมาทางช่องระบายอากาศ
ดอนน่าถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าเธอกำลังเผชิญหน้าจะๆ กับอดีตคนรักทั้งสามคนที่เธอไม่เคยลืมเลือน (“Mamma Mia”) ขณะที่พวกเขาเอ่ยปากขอโทษที่พวกเขาโผล่มาอย่างตะกุกตะกัก ดอนน่ายืนกรานว่าพวกเขาไม่สามารถพักอยู่ที่นี่ได้ และแล้วดอนน่าก็ปากคอสั่นขณะบอกความลับที่เธอเก็บเอาไว้มาตลอด ให้ทันย่าและโรซี่ได้รู้ (“Chiquitita”) ว่าเธอไม่แน่ใจว่าในบรรดาชายสามคนนี้ คนไหนคือพ่อที่แท้จริงของโซฟี แต่ไม่สำคัญ เมื่อทันย่าและโรซี่ได้ดึงให้ดอนน่า พร้อมด้วยพนักงานและชาวเกาะหญิงมาร่วมกันร้องรำทำเพลง เพื่อทำให้เธอลืมเรื่องผู้ชายทั้งสาม ดอนน่าและวง The Dynamos นึกถึงวันคืนสมัยสาวๆ ที่พวกเธอเป็นผู้นำกลุ่มผู้หญิงบนเกาะให้ลุกขึ้นมาเป็นตัวของตัวเอง (“Dancing Queen”)
โซฟีได้พบแก๊งค์สามชายอยู่บนเรือยอร์ชของบิลล์ พวกเขาพากันล่องเรือไปรอบๆ เกาะแสนสวยแห่งนี้ (“Our Last Summer”) พร้อมกับเล่าเรื่องราวของดอนน่าสมัยเป็นสาวรักอิสระให้โซฟีฟัง เมื่อเดินทางกลับมาถึงฝั่ง โซฟีได้รวบรวมความกล้าเพื่อจะคุยกับสกายเกี่ยวกับแผนการของเธอ แต่แล้วเธอก็เกิดหมดความกล้าไปเสียเฉยๆ สกายและโซฟีขับขานเพลงถึงกันด้วยความรัก (“Lay All Your Love on Me”) ก่อนจะโดนขัดจังหวะโดยกลุ่มเพื่อนที่มาหาสกายเพื่อพาตัวเขาไปฉลองคืนแห่งอิสรภาพเป็นคืนสุดท้าย
ที่งานปาร์ตี้สละโสดของโซฟี ดอนน่า, ทันย่า และโรซี่ได้ขึ้นแสดงชุดเซอร์ไพรส์ในฐานะวง Donna and The Dynamos (“Super Trouper”) โซฟีรู้สึกดีใจที่ได้เห็นแม่ของเธอกลับมาร็อคอีกครั้ง แต่เธอก็เริ่มเป็นกังวลเมื่อการเฉลิมฉลองถูกขัดจังหวะโดยการปรากฏตัวของแซม, บิลล์ และแฮร์รี่ เธอตัดสินใจที่จะไปคุยกับชายทั้งสามที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคุณพ่อของ เธอแบบตัวต่อตัวทีละคน
เจ้าสาวโซฟีใช้ความสับสนในหมู่วงเต้นรำของพวกสาวๆ กับพวกหนุ่มๆ (“Gimme! Gimme! Gimme! [A Man After Midnight]”) เพื่อพูดคุยกับแซมถึงเรื่องความรักที่เขามีต่อดอนน่า จากนั้น เธอได้พูดคุยกับแฮร์รี่ถึงความปรารถนาที่เขามีให้กับลูกๆ และสุดท้าย บิลล์ได้เปิดเผยความจริงว่าหญิงแก่ที่ให้เงินดอนน่ามาลงทุนเปิดวิลล่าของเธอก็คือโซเฟีย ป้าของเขา และโซฟีเดาว่าดอนน่าคงตั้งใจตั้งชื่อให้กับเธอเพื่อให้เกียรติกับโซเฟีย ต้องใช่แน่! บิลล์ต้องเป็นพ่อของเธอแน่! โซฟีขอร้องให้บิลล์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่ให้ดอนน่ารู้จนกว่าจะถึง งานแต่งงาน
ในคืนนั้น โซฟีกลับไปร่วมงานปาร์ตี้ต่อ แต่ความสุขของเธอมีได้แค่เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อแซมและแฮร์รี่ต่างเล่าให้เธอฟังว่าพวกเขาต้องใช่พ่อของเธอแน่ (“Voulez-Vous”) โซฟีที่กำลังช็อคไม่กล้าบอกความจริงกับพวกเขา และเพราะผลพวงจากการกระทำของเธอเอง โซฟีถึงกับเป็นลมหงายหลังลงบนฟลอร์เต้นรำ
ในตอนเช้า โรซี่และทันย่ายืนยันกับดอนน่าที่กำลังสติแตกว่าพวกเธอจะคอยจัดการกับหนุ่มๆ เอง ดอนน่าได้เจอโซฟีที่สนามหญ้า และเธอเข้าใจผิดว่าโซฟีอยากให้ยกเลิกงานแต่งงาน โซฟีพูดด้วยความโกรธว่าที่เธอต้องการเพียงอย่างเดียวก็คือไม่อยากเจอกับ ความเข้าใจผิดของแม่ และเดินหนีห่างออกไป แซมที่กำลังเป็นห่วงตามประสาคุณพ่อว่าโซฟีอาจแต่งงานเร็วเกินไป ได้เข้ามาทักทายดอนน่าที่กำลังอยู่ในภาวะสับสน ดอนน่าต่อว่าเขา และต่างฝ่ายต่างรู้ตัวว่าพวกเขายังคงมีความอาลัยอาวรณ์ในกันและกันอยู่ (“SOS”)
ขณะเดียวกัน บนเรือของบิลล์ บิลล์และแฮร์รี่เริ่มเกิดความไว้วางใจกันจนกล้าที่จะเปิดเผยความลับ แต่ก็โดนโรซี่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ขณะเดียวกัน ที่ชายหาดริมทะเล หัวใจของทันย่ากับพ่อหนุ่มเป็ปเปอร์ก็กำลังเต้นตูมตามเมื่อทั้งคู่สาน สัมพันธ์กันต่อจากเมื่อคืนก่อน (“Does Your Mother Know”)
เมื่อแผนการแตกเป็นเสี่ยงๆ และงานแต่งงานของเธอเองก็กำลังสั่นคลอน โซฟีรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะคุยเปิดใจกับสกาย และขอความช่วยเหลือจากเขา สกายรู้สึกโกรธแผนการลวงของโซฟี โซฟีจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ของเธอ
ขณะที่ดอนน่าช่วยลูกสาวแต่งตัวอยู่นั้น ความหมางใจของแม่กับลูกก็อันตรธานหายไป ดอนน่าหวนนึกถึงตอนสมัยโซฟียังเด็ก และบัดนี้เธอเติบโตเป็นสาวเร็วแค่ไหน (“Slipping Through My Fingers”) โซฟีตัดสินใจว่ามีเพียงพ่อที่เธอรู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นคนทำ พิธีส่งมอบตัวเจ้าสาว ขณะที่เหล่าพนักงานของวิลล่าและเพื่อนเจ้าสาว พร้อมด้วยดอนน่าและโซฟีมุ่งหน้าสู่โบสถ์ แซมเฝ้ารออยู่ด้วยความกระวนกระวาย ดอนน่าโบกมือส่งสัญญาณให้เริ่มพิธี แซมขอคุยกับดอนน่า แต่เธอได้ตัดบทโดยเปิดเผยว่าเธอรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ต้องเสียเขาไป (“The Winner Takes It All”)
หลังจากพิธีการเริ่มต้นขึ้น ดอนน่าก็ไม่สามารถเงียบได้อีกต่อไป เธอสารภาพกับโซฟีว่าบัดนี้พ่อของเธอได้มาอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว เพียงแต่ว่าเขาอาจจะเป็นแซม, บิลล์ หรือแฮร์รี่ก็ได้ทั้งนั้น โซฟีที่ช็อคไม่ต่างจากแม่ สารภาพว่าเธอเป็นคนเชิญชายทั้งสามมา และชายทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาพอใจที่จะได้เป็นคุณพ่อหนึ่งในสาม ของโซฟี เรื่องแปลกใจยังมีขึ้นอีกเมื่อโซฟีบอกสกายว่าเขากับเธอควรเลื่อนงานแต่งงาน ออกไปก่อน และออกเดินทางท่องโลกอย่างที่พวกเขาต้องการเสมอมา ดูเหมือนการจัดงานแต่งงานเกือบจะสูญเปล่าไปเสียแล้วจนกระทั่งแซมได้ปล่อยที เด็ดสุดท้าย เขาขอดอนน่าแต่งงาน ดอนน่ายอมรับคำขอนั้น (“I Do, I Do, I Do, I Do, I Do”)!
ที่งานฉลองมงคลสมรส แซมร้องเพลงให้กับดอนน่า ซึ่งเขายังคงปักใจรักมานานกว่า 21 ปี (“When All is Said and Done” [เพลงนี้มีเฉพาะในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่มีในละครเวที]) ซึ่งทำให้โรซี่ยอมเปิดใจกับบิลล์ (“Take a Chance on Me”) หญิงชายทุกคู่ต่างแสดงออกถึงความรักของพวกเขา และแล้วที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก น้ำจากน้ำพุแห่งความรักของเทพีอะโฟรไดทีได้ไหลพุ่งออกมาจากรอยแตกในสนาม ด้านหน้าของวิลล่าดอนน่า
เรื่องราวแสนวุ่นวายนี้ปิดฉากลงเมื่อโซฟีและสกายกล่าวอำลาเกาะสวรรค์แห่งนี้ และล่องเรือไปสู่ชีวิตใหม่ด้วยกัน (“I Have a Dream”) เป็นชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและคำมั่นสัญญา
Synopsis From : http://www.imdb.com
20 year old Sophie (Seyfried) is preparing to marry her boyfriend Sky (Cooper) at her mother's hotel on an island in Greece. She seemingly has it all -- a carefree life, a loving fiance, and happy friends -- but one thing has been missing all her life: a father.
Her only wish now is to be given away by her dad at her wedding. By reading her mother's diary she discovers that she has three possible fathers. Sophie then secretly invites all three men to the wedding in a desperate bid to discover which of them is her father before the wedding bells start to chime!
But not all goes according to plan: old loves are re-kindled, new loves are formed, and Sophie risks everything to discover the true identity of her father.
Featuring the songs of ABBA, and based on the world's number one musical comedy which has people dancing in the aisles every night, this movie is sure to be the hit of Summer 2008!

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,9/23/2008 01:21:00 AM
Suay Sink Krating Zab : สวย สิงห์ กระทิง แซ่บ
เรามาดูหนังที่โรงนี้เป็นคืนที่สามแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ได้ดูมาก่อนอีกเช่นกัน เพราะว่า เราว่าดาราที่มาแสดงนอกจาก กบ สุวนันท์แล้ว เราไม่รู้ว่าจะมาดูใครอีกดี
ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆอีกครั้งว่า เป็หนังตลกแนวสุกเอาเผากินอีกเรื่อง ที่เราดีใจมากๆที่ไม่ได้เสียตังค์ดู เพราะหนังเรื่องนี้ ไม่ตลกเลย เราหัวเราะไม่เกิน สองครั้ง ที่เหลือ นั่งดูไปก็สงสาร คนดูคนอื่นไป สงสารคนสร้างด้วย ไม่รู้สร้างออกมาได้ไง ฝืดสุดๆ
ถ้าไม่มี กบสุวนันท์ วีรภาพ เราว่าคงไม่มีใครมาดูอ่ะ แต่ยังไงเราว่าก็ยังตลกกว่าหนังของเทพ โพธิ์งาม อย่างน้อยเรื่องนี้ยังมีเนื้อเรื่องให้ได้ติดตามบ้าง
แต่ไม่โทษนักแสดงนะ เพราะเค้าจ้างให้มาแสดงก็แสดงไป คนเขียนบทก็พอทน แต่ที่ทนไม่ได้เลยคือ การแสดงของตัวประกอบ เล่นไม่เก่งเลย เหมือนถูกบังคับให้มาแสดง ดูแล้วเหนื่อยเทน
สรุป สอบตก เราว่าหนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ขนาดมีดาราที่เป็นแม่เหล็กอย่างกบ กับ วี มาเล่นแล้ว ยังได้แค่นี้ คนทั้งโรงมีไม่ถึง 50 คน เป็นเครื่องการันตีความห่วย นี่เราเองยังไม่อยากเขียนถึงเลย เพราะเสียเวลา
เนื้อเรื่องย่อ จาก http://www.nangdee.com/
ป๊อด(ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ) กับ แอ๊ด(วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) เป็นสองสหายที่ดำรงชีวิต อยู่ในความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ด้วยการทำงานในด้านการหลอกหลวง ขโมย และต้มตุ๋นผู้คนไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งวันหนึ่ง ลุงดำ พ่อของดาวอดีตเพื่อนเล่นวัยเด็กของป๊อด มาจากบ้านเกิด เพื่อมาขอร้องให้ป๊อดช่วยตามหา ดาว(สุวนันท์ คงยิ่ง) และเกลี้ยกล่อมให้ดาวกลับบ้าน เพื่อไปแต่งงานกับอบต.ที่ดาวไม่เคยชอบ ป๊อดออกตามหาดาว และต้องร่วมมือกับแอ๊ด กว่าจะจับดาวกลับมาได้ เพราะดาวก็เป็นนักต้มตุ๋นเช่นเดียวกับป๊อดและแอ๊ด
ขณะเดียวกัน ดาวก็พาป๊อด กับ แอ๊ด เข้าไปพัวพันกับการปล้นเพชรนำเข้ามูลค่าหลายสิบล้านซึ่งมี บรรหาร(จรัสพงษ์ สุรัสวดี) จอมบงการทีมปล้นและมีอิทธิพล เป็นคนวางแผน ด้วยความบังเอิญ เพชรตกมาอยู่สองหนุ่มหนึ่งสาว ทั้งสามจึงต้องร่วมมือกันเอาตัวรอด จากการไล่ล่าของพวกบรรหาร โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องงัดกลยุทธและฝีมือออกมาใช้กันเต็มที่
ดาว พยายามหว่านเสน่ห์ให้สองหนุ่มตายใจ เพื่อจะชิงเพชรไปเป็นของตน ขณะที่ฝ่ายสองหนุ่ม ต่างก็รู้ตัวว่าตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันเข้าให้แล้ว การชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมเฉือนคมจึงเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะและควันปืน

Suay Sink Krating Zab synopsis from : www.movieseer.com
Two swindler buddies are looking for a girl who was a friend in childhood. They discover that the girl is also a swindler. She persuades them to rob invaluable diamonds from a powerful robber. Later, the girl tries to allure them to steal the diamonds while the two buddies are now falling in love with the same girl.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,9/23/2008 01:06:00 AM
The Ghost and Master Boh : ผีตาหวานกับอาจารย์ตาโบ๋

ได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นคืนที่สอง ของการส่งเสริมการขาย ที่เมเจอร์ฮอลลีวูด เหมือนเดิม คือ พอเข้าโรงปุ๊บก็ฉายเลย ดีจริงๆ อยากให้เป็นอย่างนี้ทุกเรื่องทุกรอบ
จริงแล้ว เรื่องนี้เราเคยดูแล้ว แต่ก็อยากดูอีก เพราะตลกดี ดูอีกทีก็ยังขำเหมือนเดิม ตัวละครที่เราชอบมีหลายตัว จาตุรงค์ เอย ส้มเช้งเอย ค่อมชวนชื่นเอย จะว่าไปก็ชอบทุกตัวนั่นแหละ เราว่า จาตุรงค์ ทำหนังดีกว่า เทพ โพธิ์งาม ตรงที่ เนื้อเรื่องมีความต่อเนื่อง มีมุขตลกแทรกไปตามเนื้อเรื่อง ในขณะที่ หนังของเทพโพธิ์งาม ใช้มุขเรี่ยราด ปล่อยไปรื่อยๆโดยเนื้อเรื่องไม่มีแก่นของเรื่องเลย ดูตั้งแต่ต้นจนจบเรายังไม่รู้เลยว่า ต้องการจะบอกอะไร แต่หนังของจาตุรงค์เราว่า ดูดีกว่านะ เพราะยังรู้เรื่องบ้าง
ขอบอกอีกทีว่า ดูแล้วดูอีกก็ยังตลก แปลกดีนะ ถ้าสังเกตดูดีดี จะเห็นได้ว่า หนังผีส่วนใหญ่จะเป็นหนังตลก แล้วก็ตลกเป็นคนสร้างด้วย ไม่รู้ว่า สูตรนี้คิดมาจากใครว่า ตลกต้องสร้างหนังผี จี้ดี
สรุป เราไม่มีคอมเม้นอะไรมาก เพราะจะเอาอะไรมากจากหนังตลก นอกจากความเพลิดเพลิน ถ้าโจทย์มีแค่นี้เราว่าหนังเรื่องนี้สอบผ่าน แต่ถามว่า เป็นหนังตลกในดวงใจเรามั๊ย ตอบได้เลยว่าคงไม่ใช่ เพราะเรื่องนี้ ไม่ได้ให้ความเอาใจใส่กับรายละเอียดเท่าที่ควร ทุกอย่างแทบเรียกได้ว่าทำแบบสุกเอาเผากิน ทั้งเรื่องถ่ายคามวัด หรือพูดอีกอย่างคือ ไม่ลงทุนเลย ดังนั้น เอาไปแค่ 7.0 ก็พอ
เนื้อเรื่องย่อจาก http://www.nangdee.com
หวาน( พรรษชล คุ้มแพรวพรรณ) ถูกข่มขืนจนตาย แต่ก็ไม่วายที่ร่างซึ่งตายแล้วกลับโดนรบกวนอีก จึงทำให้ต้องออกมาต่อสู้ และได้พบรักกับวิทย์(วี ระยุทธ น่าบูรณะ) ซึ่งไม่รู้ว่าตนเป็นผี อีกมุมหนึ่งอาจารย์โบ๋( จตุรงค์ ม๊กจ๊ก) กับบัว( ส้มเช้ง สามช่า) น้องสาวของอาจารย์โบ๋ ตั้งตัวเป็นร่างทรงหลอกเงินชาวบ้าน และให้หวยอย่างส่งเดช แต่ก็ทำให้คนแทงถูกหวย จนสร้างความไม่พอใจให้กับ เจ้ามือหวย จนเจ้ามือหวยต้องวางแผนเพื่อเก็บอาจารย์โบ๋เพราะเจ้ามือหวยก็คือคนที่ฆ่าหวานจึงทำให้หวานต้องจัดการกับพวกเสี่ยอู๋( เกริก์ ชิลเล่อร์) แต่เธอทำด้วยตนเองไม่ได้ เพราะมันมีอาจารย์ดีที่ชื่อว่าหมอโหมด( จ๊อด เชิญยิ้ม) ซึ่งใช้ผีไอ้ทุ้ย(ปลาคราฟ์ เชิญยิ้ม)มาจัดการกับอาจารย์โบ๋ และหวาน เมื่อรู้ว่าอาจารย์โบ๋ซึ่งเป็นคนที่วิทย์คนรักของตนนับถืออยู่ตกอยู่ในอันตราย จึงร่วมมือกับอาจารย์โบ๋จัดการกับหมอโหมด และชำระแค้นกับพวกเสี่ยอู๋ได้สำเร็จ……

The Ghost and Master Boh synopsis from : www.movieseer.com
Master Boh lies to the people that he can communicate with spirits and randomly predicts the numbers for everyone who wants to win the lottery. His tricky job dissatisfies to a powerful man Au, so it causes Master Boh's life in a danger. Meanwhile, a girl named Wan is murdered by Au, she returns as a vengeful ghost waiting for the revenge. Then, Master Boh and Wan team up to defeat the same guy.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,9/23/2008 12:40:00 AM
Siyama Village of Warriors : สียามา
ด้วยความคิดถึงเมเจอร์ ฮอลลีวูด บวกกับความบังเอิญจริงๆให้ดิ้นตาย วันนี้หลังจากออกกำลังกายเสร็จก็เลยเอาหนังสือพิมพ์มานั่งอ่านเล่น พร้อมเปิดไปหน้าบันเทิง ตาก็มาสะดุดอยู่ที่กรอบโฆษณาของ เมเจอร์ฮอลลีวูด 30 วันดุหนังฟรี 30 เรื่อง
จริงๆไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะปีที่แล้ว ที่นี่ ก็จัดรายการอย่างนี้ทีนึงแล้ว หนังที่ฉายไม่ใช่หนังใหม่หรอก เป็นหนังเก่า ที่เราเคยดูมาแล้วทั้งนั้น แต่ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้าดูฟรี รายการที่ว่าเริ่มมาแล้ว 10 วัน แต่เราเพิ่งจะอ่านเจอ ( ในใจนึกโมโหตัวเองนิดหน่อย แต่ช่างเหอะ ยังเหลืออีกตั้ง 20 เรื่องแน่ะ ที่เรายังมีโอกาสดูฟรี 555 )
วันนี้ เป็นคิวของหนังเรื่อง สียามา ถือว่าโชคดีแหละ เพราะว่า เรายังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ตอนนั้นที่เราไม่ได้ดู ก็เพราะว่า เราดูหนังตัวอย่างแล้ว รู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ อกแบบเครื่องแต่งกายตลกๆ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย ด้วยเหตุผลแค่นี้จริงๆ เราเลย ไม่เอาดีกว่า แต่ไหนๆวันนี้เราก็มีโอกาสมาดูฟรีแล้ว ก็เอาน่ะ ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ
ด้วยความที่เราไม่ได้สนใจอยากดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรก เราก็เลยไม่ได้สนใจจะไปตามอ่านว่า เนื้อเรื่องเป็นไง ใครแสดงบ้าง แต่เราก็เดาเอาเองว่า น่าจะเป็นหนังแนว บางระจัน สุริโยทัย หรือ นเรศวร อะไรประมาณนี้ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก อะไรก็ช่างมัน ก็ดูฟรี ( แหม เน้นบ่อยจัง 5555 )
เข้าโรงตอน หนึ่งทุ่มตรง โอ้โห เป็นอะไรที่ตรงเวลาดีมากๆ คนในโรงเรากะด้วยสายตา มีคนดูประมาณ ไม่ถึงร้อย ( โรงเบอร์สี่ ออกจะเบ้อเร่อเบ้อร่า ) เชื่อมั๊ย เข้าโรงปุ๊บ เพลงสรรเสริญขึ้นปั๊บ ฉายทันที แหม มันช่างดีเลิศประเสริฐศรีอะไรเช่นนี้ ไม่มีโฆษณาให้รำคาญใจเลย ดีมากๆ แปลกใจว่า อีทีตอนจ่ายตังค์ดู ทำไม๊ทำไมถึงต้องมีโฆษณาเยอะแยะ จนคนดูรำคาญ งง มากๆ
หนังมีเนื้อเรื่องไม่ได้ตรงกับที่คิดเอาไว้เลย ดันมีการย้อนไปในอดีตของคนหนุ่มสาวสามคนด้วย ดูแล้วขัดหูขัดตากับความรู้สึกเหลือเกิน รวมทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวแสดงแต่ละตัวแล้วยิ่งเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่เลย เอาเป็นว่า ดูแล้วนึกว่าดูหนังยอดมนุษย์ญี่ปุ่นอยู่ แต่เป็นแบบไทยๆ ดูแล้วมีอาการคล้ายๆจะเป็นบ้าให้ได้
สรุป เราขอให้คะแนนแต่หนัง ถึงแม้ว่า เราจะชอบรายการส่งเสริมการขายนี้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หนังเรื่องนี้สนุกขึ้นแต่อย่างใด หนังมีแนวเนื้อหาที่จะอิงประวัติศาสตร์ ( หน้าไหนก็ไม่รู้ ไม่เห็นเคยเรียนเลยว่า มีหมู่บ้านนี้อยู่ในประวัติศาสตร์ ) ความรักชาติ อะไรประมาณเนี้ย แต่ฝีมือคนกำกับ กับตัวแสดงยังไม่ถึงขั้นอ่ะ เราดูแล้วเหมือนผ่านๆตาไปให้มันจบๆ ไม่มีฉากไหนประทับตาประทับใจเลย ยิ่งเนื้อเรื่องยิ่งไปกันใหญ่ ไม่ได้มีความสมจริงใดๆเลย อีกอย่างในเรื่องมีการใช้บทสวดชินบัญชรด้วย ซึ่งจริงๆแล้ว บทสวดนี้เพิ่งมีในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นๆเอง แสดงว่า คนทำไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ดีพอเลยจริงๆ แย่มากๆ เราไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เงิน เพราะเราเองยังให้คะแนนแค่ 4.5 เองอ่ะ
เนื้อเรื่องย่อ จาก http://www.nangdee.com
หนึ่งตำนานของผู้กล้า ที่ถูกซ่อนไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ พ.ศ. 2307 ครานั้นดวงเมืองแห่งกรุงศรีอยุธยา ตกอยู่ใต้อิทธิพลของดวงดาวแห่งสงคราม ผู้รุกรานเดินทัพมุ่งตัดกำลังอยุธยาจากทุกด้าน ทางหนึ่ง มังมหานรธา เป็นแม่ทัพ ตีหัวเมืองทางทวาย กาญจนบุรี สุพรรณบุรี เข้าล้อมพระนคร อีกทางหนึ่ง เนเมียวสีหบดี เป็นแม่ทัพ ตีหัวเมืองทางเหนือ แล้วรุดลงใต้เป็นทัพกระหนาบพิชิตอยุธยา
บ้าน สียามา อันสงบสุข กำลังเข้าสู่ภาวะสงครามเช่นกัน แม้ไม่อยู่ในเส้นทางเดินทัพของผู้รุกราน แต่ก็กลับกลายเป็นสมรภูมิระหว่างชาวบ้านผู้กล้าแห่งบ้านสียามา กับกองทะลวงฟันของผู้รุกรานที่เดินทัพหลงออกนอกเส้นทาง และต้องการเดินทัพตัดผ่านเพื่อไปสบทบกับทัพใหญ่ที่กำลังเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาให้เร็วที่สุด
ในระหว่างการต่อสู้ จู่ ๆ เกวียนประหลาดก็โผล่ขึ้นมา โดยมี อาณา, โบ๊ต และ กิ๊ฟ นั่งอยู่ทั้งหมดประหลาดใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และขับเกวียนหนีเข้าไปทางหมู่บ้านสียามา โดยมี "ปราย" เป็นผู้นำทั้ง 3 ไปกราบหลวงปู่โทน พระอาจารย์ผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวสียามา ผู้ให้คำตอบว่าเหตุใดคนทั้ง 3 จึงเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกเขาคือกลุ่มผู้ที่มีความสามารถและจะเป็นกำลังสำคัญให้กับหมู่บ้านสียามา
การต่อสู้ ทั้งที่รู้ว่าจุดจบที่กำลังจะมาถึง คืออะไร ทั้งหมดเผชิญกับการตัดสินใจด้วยความกล้าหาญ...เหตุการณ์นี้จึงทำให้เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า“เราทำอะไรเพื่อแผ่นดินอันเป็นที่รักแล้วหรือยัง?”
“มันผู้ใด หมายมุ่ง มารุกราน ข้ามศพข้า ทั้งหมู่บ้าน ค่อยผ่านไป”

Siyama : Village of Warriors synopsis from : www.movieseer.com
Three young lives from the present are mysteriously destined to travel back in time through a portal to an old forgotten city. It is an era of civil war among the people of Siam where the fight is to protect the capital city of Ayuthaya from being conquered and overthrown. Bloodshed is about to unfold among the small group of villagers loyal to their land and prepared to battle to the death with the opposing military troops of Ong Mien, known for their cut throat, piercing swords.
Siyama led by, Kru Jom, uses religious sorcery to protect his small village located amidst a ravine populated by only a mere one thousand villagers and two hundred rooftops. By being the choice of passage towards the capital city of Ayuthaya, Siyama becomes a targeted obstacle for the gruesome military brigade of Ong Mien.
Anna, Gif, and Bote from present day Bangkok are thrown into a gateway through time after coincidentally conversing about the history of warfare that took place in the ancient days of what was then called Siam. They suddenly appear out of no where right at the onset of battle causing utter confusion and havoc among the soldiers. These girls are forced to put their book-learned history knowledge to the test to see if they can save Siyama from being trampled through.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Monday, September 22, 2008,9/22/2008 11:54:00 PM
Cyborg She : ยัยนี่น่ารักจัง
จะว่าไป โรงเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์สาขา รามคำแหง เราเคยมาใช้บริการครั้งนึงเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนั้นเรามาดูหนังเรื่อง Starwars ภาคที่มีเจ้าหญิง อมิกดาลา ( นาตาชา คอฟแมน ) จากนั้นเราก็ไม่ได้มาอีกเลย นานมากๆๆๆๆๆแล้ว วันนี้เลยถือเป็โอกาสดีที่จะมาดูหนังที่นี่อีกที
สภาพโรงค่อนข้างดีมากๆเลย ใหม่มากๆ ทั้งๆที่เปิดมานานแล้ว รอบที่เราดู มีคนดูน้อย ประมาณ ซัก 10 คนเห็นจะได้ ก็ตามสไตล์ของโรงนี้ ต้องฉายโฆษณา ครี่งชั่วโมงก่อนค่อยฉาย เราขี้เกียจพูดแล้ว หนังเป็นแนวรักโรแมนติกที่เนื้อเรื่องสนุกมากๆ นางเอกน่ารักสุดๆ ยิ้มทีโลกสว่างไปทั้งใบ เกิดมาไม่เคยเห้ฯนางเอกญี่ปุ่นคนไหน น่ารักแบบนี้ แตกต่างจากรูปถ่ายหน้าโรงที่หน้าตาไม่ยิ้มดูแล้วไม่สวยเลย แต่ในเรื่องยิ้มเก่ง แค่ฉากแรกที่โผล่หน้ามาให้เห็นก็หลงรักแล้ว น่ารักไปทุกอย่าง มิน่า เค้าถึงตั้งชื่อเรื่องนี้ภาษาไทยว่า ยัยนี่น่ารักจัง ก็น่ารักจริงๆ
มีหลายฉากที่ทำให้เราน้ำตาไหลได้ โอย หลายฉากจริงๆ แต่ไม่ฟูมฟายนะ คือ ไหลเพราะซึ้งในความรักของพระเอกนางเอก แต่น่าจะเป็นของนางเอกมากกว่า เพราะเรื่องนี้ พระเอกไม่เก่งเลย โครงเรื่องคล้ายๆ โดเรมอนกับโนบิตะ เพีงแต่เปลี่ยนจาก โดเรมอน มาเป็นนางเอกคนนี้แทน แล้วก็คอยปกป้องคุ้มครองพระเอก ยิ่งตอนที่ตึกถล่มมาทับนางเอก ฉากนี้ ขอสารภาพเลยว่า น้ำตาไหล โธ่ สวยๆไม่น่าเลย
สรุป ชอบนะ ชอบมากด้วย ถึงแม้มันจะดูเพ้อฝัน จินตนาการไกลสุดหล้าไปหน่อย แต่ดูสนุกมากๆ ตลกตอนแรกแต่เศร้าตอนใกล้ๆจะจบ นางเอก เป็นแม่เหล็กยักษ์ที่ทำให้ละสายตาไปจากจอไม่ได้เลยแม้แต่ฉากเดียว น่ารักมากๆ อยากซื้อ ดีวีดีเก็บเอาไว้ชื่นชมนานๆ เอาไปเลย 9
เนื้อเรื่องย่อจาก http://www.nangdee.com
อยู่ๆวันหนึ่ง สาวน่ารักก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผม จากนั้นอีกหนึ่งปี ผมก็เจอผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนสาวคนนั้น คนที่ผมตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น แม้จะได้อยู่กับเธอแค่วันเดียว เธอยังน่ารักเหมือนเดิม แต่ดูเลื่อนลอย เธอบอกความลับกับผมว่า เธอเป็นหุ่นยนต์มาจากอนาคต คำถามผุดขึ้นในหัวผมเต็มไปหมด เธอใช่ผู้หญิงที่ทิ้งผมไปเมื่อปีก่อนหรือเปล่านะ? แต่ยังไงผมก็ตัดสินใจออกเดทกับเธอ เธอขี้โวยวายนิดหน่อย พฤติกรรมของเธอทำให้ผมเจอปัญหาหลายครั้ง แต่ผมก็รักเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เธอคนนี้แหละที่ช่วยชีวิตผมจากอันตราย
เมื่อก่อนชีวิตผมน่าเบื่อสุดๆ มีเธอเข้ามาในชีวิต ผมถึงมีความสุข แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นหุ่นยนต์ที่ไม่รู้สึกอะไรกับผมเลย ทั้งๆที่ผมรู้สึกผูกพันกับเธอมากขึ้นทุกวัน อุปสรรคนี้มันเจ็บปวดเกินกว่าที่คนอ่อนแออย่างผมจะรับไหว ผมจึงบอกเลิกกับเธอ ช่วงที่เธอจากไป เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นที่กลางใจเมือง ทันใดนั้น เธอก็มาช่วยชีวิตผม ผู้หญิงที่ผมพยายามจะลืมยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องผม ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างผมเสมอ เธอยิ้มให้ผม วินาทีนั้น ผมนึกถึงรอยยิ้มของผู้หญิงคนที่ผมพบเมื่อปีก่อน
ในที่สุดหุ่นยนต์สุดที่รักของผมก็มีความรู้สึก ส่วนผมก็ค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง เมืองกำลังถล่ม แต่อนาคตอันเหนือความคาดหมายกำลังรอเราสองคนอยู่
Cyborg She synopsis from : www.movieseer.com
One day, a beautiful cyborg girl appears in front of a dull university student. Even though the cyborg starts to like him, she can't truly feel emotions, so the boy has no choice but to say goodbye to her inhuman power and 'violence'. Missing her, he continues his lonely existence. Some time thereafter, a disastrous earthquake hits Tokyo, and the cyborg girl saves his life. In that moment, she starts to have feelings like a real human being.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Friday, September 12, 2008,9/12/2008 07:05:00 AM
Burn : คนไฟลุก
ตอนแรกเราก็นึกว่าเฮ้ย หนังผี สงสัยต้องหนุกแน่ๆเลย เพราะตอนเด็กๆเราเคยอ่าน ต่วยตูน เค้าเคยลงเรื่องเกี่ยวกับอะไรประมาณนี้ ตอนนั้นเราอ่านแล้วมันส์มากๆ เลยเกิดความอยากดูขึ้นมาตะหงิดๆ
รีบไปดูตั้งแต่เข้าโรงวันแรก เราเลือกไปดูที่ เอสเอฟ เพราะมีบัตรพิเศษ ดูได้ไม่ต้องเสียตังค์ แต่เสียอารมณืกับการตรวจข้าวของ และตรวจร่างกายมากๆ เหมือนเราจะเข้าไปขายยาบ้าในโรงหนังก็ไม่ปาน เฮ้อ
หนังเริ่มฉายก็พยายามกวาดสายตาดูจำนวนคนในโรง ไม่น้อยแฮะ คนซัก 50 คนเห็นจะได้ เริ่มฉายได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีฉาก คนไฟลุกให้เห็นแล้ว ดูก็รู้ว่าใช้คอมช่วย แต่ก็นะ ค่อนข้างเนียน ดีเลยล่ะ มีคนไฟลุกให้ดู สองสามฉาก ดูปดูมา เฮ้ย กลายเป็นหนังบู๊ว่ะ เกี่ยวกับ บริษัท ยาเอายามาทดลองกับคนไทย จนแต่ละคน ไฟลุกไปตามๆกัน มีฉากต่อสู้กับฝรั่งที่เป็นผู้จัดการบริษัทยา ดูแล้วก๊องแก๊ง แปลกๆ ไม่ได้เรื่องเลย
ที่อยากด่าที่สุด ก็คือ ดนตรีประกอบ ทั้งเร่องใช้เพลงเดียว เปิดคลอไปเรื่อยๆ ทำนองคล้ายเพลงในโบสถ์ฝรั่ง ติ๊ง ๆ ต่อง ๆ ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากตื่นเต้นแค่ไหน เศร้าแค่ไหน มันก็เลยไม่ได้ทำให้อารมณ์ของคนดูไปถึงไหนเลย ฟังแล้วอยากหลับมากๆ อยากให้คนทำดนตรีประกอบ ไปศึกษาการทำดนตรีจากหนังต่างประเทศมั่งก็ดี จะได้รู้ว่า เพลงประกอบมีบทบาทมากมายขนาดไหน เฮ้อ
ฝีมือการแสดงของดาราแต่ละตัว ห่วยแตกมากๆ ตั้งแต่ดูหนังของ ตั๊ก มา เรื่องนี้ ตั๊กแสดงได้ห่วยแตกที่สุด จริงๆ ทั้งเรื่อง มีดาราที่ดังที่สุด ก็คือ ตั๊ก คนเดียว นี่แหละ ที่เหลือ ไม่ค่อยดังเลย เราก็เลยไม่ค่อยอยากพูด แต่ตั๊กนี่ เป้นนางเอก แสดงได้แค่นี้ เราถือว่า สอบไม่ผ่าน เล่นแข็งเหลือเกิน เราว่า คงต้องโทษผู้กำกับ ที่ปล่อยให้ผ่านออกมาได้ยังไง ใช้ไม่ได้เลย
สรุป หนังสอบตกในสายตาเรา ดารา ก็พอโอเคอยู่ แต่ฝืมือตกลงไปเยอะมากๆ เนื้อเรื่องก็ เอาน่ะ เอาเหตุการ์ในเมืองนอกเมืองนามาผูก ก็พอทน แต่ที่ร้ายสุด คือดนตรีประกอบ เน่าสนิท ห่วยแตกมากๆ ไม่ได้จรรโลงอารมณืให้คล้อยตามเนื้อเรื่องเลย พับผ่าเหอะ ดูแล้วอารมณ์เสีย พูดตรงๆ ตอนกลางๆเรื่องแทบอยากรีบวิ่งออกมาจากโรงให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็เสียดายเงิน รู้ว่าคนดูคนอื่นคิดไง แต่เราให้แค่ 5.1 อ่ะ หนังไม่ดีเลย วันหลัง หนังเสี่ยเจียงเราต้องสกรีนหนักๆซะแล้ว
เนื้อเรื่องย่อ จาก http://www.majorcineplex.com/
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าร่างกายเราลุกเป็นไฟได้เอง...โดยไม่ทราบสาเหตุ!!!“ปรากฏการณ์คนลุกเป็นไฟฉับพลัน”...เป็นไปได้อย่างไร เรื่องจริง หรือ พิธีกรรม คุณเท่านั้น!!! ต้องเป็นผู้ร่วมพิสูจน์และหยุดยั้งมันก่อนที่ “ไฟสยอง” นี้ จะลุกลามมาสู่...ตัวคุณในภาพยนตร์ลึกลับ-ระทึกขวัญแห่งปีที่มีแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง“คนไฟลุก” (Burn)
เหตุการณ์ระทึกขวัญนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีลางบอก เมื่อจู่ ๆ ไฟประหลาดก็ลุกท่วมร่างของผู้หญิงคนหนึ่งจนเสียชีวิต และเธอคือคนไทยรายแรกที่เกิดปรากฏการณ์ไฟลุกท่วมตัวโดยฉับพลันนี้
“โมนา” (บงกช คงมาลัย) ลูกสาวของผู้ตาย เป็นนักค้าหุ้นสาวผู้ทะเยอทะยานต้องเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์นี้อย่างไม่ ทันตั้งตัว และเธอไม่อาจทำใจได้ที่อยู่ ๆ แม่ก็มาตายจากไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้เธอได้พบกับ “พลอย” (อาชิรญาณ์ ภีระพัภร์กุญช์ชญา) พยาบาล สาว ซึ่งแม่ของเธอก็ต้องชะตากรรมถึงตายด้วยไฟลุกท่วมตัวโดยไม่ทราบสาเหตุอย่าง ไม่ผิดแผกกันเลย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้โมนาและพลอยต้องพยายามสืบหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ว่า อะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นกับแม่ของพวกเธอ
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังตามล่าหาความจริงอยู่นี้ พวกเธอก็ได้รับความช่วยเหลือด้านข้อมูลจาก “ขวัญ” (ปรางทอง ชั่งธรรม) นักข่าวสาวที่ตามติดข่าวนี้อย่างจิกไม่ปล่อยมาตั้งแต่แรก ตามสัญชาตญาณของอาชีพนักข่าว เธอมั่นใจว่าเหตุการณ์นี้ต้องมีอะไรเคลือบแฝงอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
รวมถึง “ดอน” (ชลัฏ ณ สงขลา) นายตำรวจหนุ่มเจ้าของคดีนี้ แม้จะได้รับคำสั่งจาก “วัง” (สุธีรัชย์ ชาญนุกูล) หัวหน้าของเขาให้ปิดคดีนี้ว่าเป็นอุบัติเหตุไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยความสงสัยและยึดมั่นในความถูกต้องยุติธรรม เขาจึงต้องร่วมสืบหาความจริงของเหตุการณ์ลึกลับนี้และหยุดยั้งมันให้ได้ แม้จะรู้ว่ากำลัง “เล่นกับไฟ” อยู่ก็ตาม
ความจริงในเหตุการณ์นี้ มันเป็นการฆ่าตัวตาย, อุบัติเหตุ, ฆาตกรรม หรือเครื่องสังเวยความลี้ลับ
ปริศนาแห่งเบื้องหลัง“ไฟมรณะ” จะต้องถูกคลี่คลาย ก่อนที่ความเป็นความตายจาก “ไฟสยอง” นี้จะโหมลุกขึ้นอีกครั้ง
Synopsis from : http://www.movieseer.com/
Burn circles around the mystery of Spontaneous human combustion (SHC), the belief that the human body sometimes burns without an external source of ignition.
The story follows the investigation of a female victim’s mysterious death caused by SHC. Mona, the daughter of the victim, is an ambitious lawyer who accidentally involves in the crime. She regrets the unfinished reconciliation between her and her mother.
The incident brings her to Ploy, a nurse whose mother passed from SCH as well. Both girls seek to find the truth behind their mother’s death. Kwan, a diehard journalist, follows her instinct to unveil the evil force behind the case.
Can this be suicide, murder, accident, or a secretly religious sacrifice? The mystery behind “deadly fire” needs to be revealed before fire erupts.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
Wednesday, September 10, 2008,9/10/2008 07:59:00 AM
The Death of Ian Stone : พันธุ์อมตะ ฆ่าหมื่นตาย
โอย ลืมไปเลยว่า ไปดูหนังเรื่องนี้มา ไปดูที่โรง SF บางกะปิ เจ้าเดิม เพราะมีตั๋วฟรีเหลืออีกเพียบเลย มีคนดูไม่มากเลย จำได้ว่าทั้งโรงมีคนอยู่ประมาณ 20 คนเห็นจะได้ แต่ที่ไม่ชอบโรง Sf อย่างนึงคือ ตรวจกระเป๋าละเอียดยิบ ทุกซอกทุกมุม ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรกันนักกันหนา ถ้ากลัวว่า จะแอบเอากล้องเข้าไปล่ะก็ เรามีความเห็นว่า ตรวจพนักงานของตัวเองให้ดีดีเหอะ เพราะระยะหลัง การซูมนี่มีคุณภาพมาก คงไม่สามารเอากล้องไปถือถ่ายได้หรอก ภาพชัดขนาดนั้น น่าจะเกิดจากการเอากล้องไปตั้งถ่ายที่ห้องฉายมากกว่านะ อยากฝากผู้บริหารโรงหนังจัง ว่า ให้ตรวจพนักงานตัวเองให้ดี ดีกว่า
หนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่แปลกมากๆ ทั้งพล็อตเรื่อง ทั้งเนื้อเรื่อง ตอนแรกเราดูแล้วงงมากๆ มันเอาไง เดี๋ยวกระโดดไปเดี๋ยวกระโดดมา อ๋อ ที่แท้ มันมีกลุ่มคนประหลาด ซึ่งเราดูตั้งนานเราก็ตัดสินไม่ได้ว่าเป็น มนุษย์ต่างดาว หรือเป็นยมทูตกันแน่ รู้แต่ว่า ตอนจบพระเอกเก่งโคตร ปราบได้หมดเลย ทั้งๆที่ตอนแรก แหยสุดๆ
สรุป เราจำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก รู้แต่ว่า ผีพระเอกตอนจบหน้าตาน่ากลัวจริงๆ เป็นผีหน้าเหี่ยว ใส่ชุดช่าง มือเป็นดาบคอยฟาดฟันพวกผีร้าย ( หรือ มนุษย์ต่างดาวก็ไม่แน่ใจ อย่างที่บอก ) นี่แหละที่เราว่าแปลก เพราะหาข้อสรุปไม่ได้ ว่าเป็นอะไรกันแน่ งง ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอให้คะแนนความแปลกแต่จริง เอาไปเลย 8.3 ฐานสร้างสรรค์เนื้อเรื่องได้พิลึกพิลั่นจริงๆ
เนื้อเรื่องย่อจาก http://www.majorcineplex.com/
ภาพยนตร์เรื่อง The Death of Ian Stone คือภาพยนตร์ระทึกขวัญที่เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อ เอียน สโตน ( ไมค์ โวเกล ) ชายหนุ่มอเมริกันที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างขับรถกลับบ้านและพบว่าตัวเอง กำลังถูกฆาตกรรม เมื่อตื่นขึ้นมา เอียน สโตน พบว่า เขากลายเป็นคนอื่น ใช้ชีวิตในแบบอื่น แฟนสาวของเขากลายเป็นคนแปลกหน้าไป แต่ทุกวันในเวลา 5 โมงเย็น เอียน สโตน ก็พบว่าเขาถูกมนุษย์ประหลาดตามฆ่าและก่อนที่เขาจะตายเขาจะต้องสะดุ้งตื่น ขึ้นมาและพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาเป็นคนอื่น และกำลังจะถูกฆาตกรรมซ้ำอีกครั้งเมื่อเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเวลา 5 โมงเย็น และทุก ๆครั้งเมื่อเขาใกล้ความตาย เอียนสโตนจะยิ่งทุกทรมานมาก ขึ้นจากวิธีการฆาตกรรมที่วิปริตผิดมนุษย์ขึ้นทุกที และในที่สุด เขาก็พบว่า เขาถูกตามฆ่าจากพวก ฮาร์เวสเตอร์ สัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่โหดอำมหิตเกินใครคาดเดา และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
The Deaths of Ian Stone synopsis from : www.movieseer.com
On an otherwise ordinary night, the young Ian Stone encounters a mysterious creature and is forced into the path of an oncoming train. Rather than facing certain death, Ian finds himself reborn into a new life that feels strangely familiar. After his second death, it becomes apparent that Ian is being hunted by an evil presence, and will be forced to die every day until he can solve the mystery of his own life.

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,9/10/2008 07:10:00 AM
Sands Chronicle





ออกจากโรง Nina’s Heavenly delight ก็ตั้งใจว่าจะกลับ้านซักที เพราะล้าแล้ว อ้าว ฝนยังไม่หยุดตกอีก เลยทำให้ House ได้เงินเราไปอีก 100 สำหรับหนังเรื่องที่สาม ที่เป็ฯหนังญี่ปุ่น หนังเริ่มฉายตอน หกโมงเย็นพอดี อย่างเคย ทั้งโรงมี สี่คน
ลืมบอกไปว่าตอนที่เดินมาตีตั๋วหนังเราเจอ โน๊ตอุดมด้วย มีน้องๆนักเรียน สองสามคนกำลังขอลายเซ็นอยู่ เสียดายจังไม่ได้เอากล้องมาด้วย ไม่งั้นขอถ่ายรูปคู่ไปแล้ว 5555 กลับมาคุยเรื่องหนังดีกว่า หนังภาพสวยอีกแล้ว เปิดฉากมาก็เป็นภาพทะเล กับ ต้นไม่รูปทรงสวยๆแปลกตา อยากบอกว่า ดาราเด็กๆในเรื่องหน้าตาน่ารักทุกคนเลย โดยเฉพาะนางเอก ตาโตน่ารักมากๆ หน้าตาเหมือนนางเอกเรื่อง บ้านนี้มีรักอ่ะ น่ารักดี แต่ตอนโตแล้ว ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เลย
เนื้อเรื่งโรแมนติกดี เปิดฉากมามีฉาก แหงนมอง นาฬิกาทรายยักษ์ด้วย เราก็เพิ่งเคยเห็น นาฬิกาทรายที่ใช้ได้จริงๆที่ใหญ่ขนาดนี้ มันใหญ่จริงๆนะ แล้วก็ปีนึงมันจะกลับแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น คนถึงมามุงดูกันตรึมเลย ฉากเปิดของเรื่องอยู่ที่นี่ แล้วก็เล่าย้อนกลับไปวัยเด็ก
หนังทำได้น่ารัก ทำให้เรานึกย้อนกลับไปวัยเด็กของเราหมือนกัน ก็คล้ายๆกับในหนังนั่นแหละ แต่ไม่ขนาดนี้ 5555
หนังมีฉากที่ดีหลายตอน ที่อยากบอกว่าทำให้เนื้อเรื่องธรรมดาๆกลายเป็นหนังโรแมนติกได้ก็ตรงเพลงประกอบนี่แหละ เราต้องซูฮกหนังญึ่ปุ่นอย่างนึงเลย คือ หนังแนวนี้ของญุ่ปุ่นนี่ เพลงจะโดนมากๆ เพลงเพราะซึ้งมาก แถมมาในจังหวะที่เหมาะสม เลยอินกันใหญ่ แต่ถ้าจะเทียบหนังเรื่องนี้ กับหนังแนวโรแมนติกญี่ปุ่นที่เราเคยดูมาทั้งหมด เราว่าเรื่องนี้ ห่วยที่สุด ไม่ค่อยซึ้งซักเท่าไหร่เลย เพราะเนื้อเรื่องอาจจะเกี่ยวข้องกับความหลังของนางเอกที่มีแม่ฆ่าตัวตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้หนังมันหนักไปนิดนึง แทนที่เราจะฟัสเรื่องรัก เลยกลายเป็นว่า ไปทุกข์กับการตายแม่ของนางเอกแทน
สรุป อย่างไรก็แล้วแต่ เราว่า หนังมันทำได้ไม่ถึงจุดที่จะทำให้เราซึ้งไปกับความรักของพระเอกนางเอก ดูแล้วเหมือนรักกันเล่นๆ นอกจากดนตรี กับมุมกล้องที่สวยแล้ว ที่เหลือ เครดิต คงต้องยกให้กับดาราเด็กในเรื่อง ที่แสดงเก่งทุกคน แต่เนื้อเรื่องเราไม่ค่อยชอบ อีกจุดนึงที่ชอบก็น่าจเป็นการเชื่อมโยงนาฬิกาทรายให้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อเรื่อง ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นนาฬิกาทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่หนึ่งปีกลับหัวหนึ่งครั้ง ที่เหลือ เราว่างั้นๆ สำหรับเรื่องนี้ เราให้ 7.2 นะ
เนือ้เรื่องย่อ จาก http://www.nangdee.com/
จากมังงะชื่อดัง (ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า นาฬิกาทรายรัก) มาเป็นละครโทรทัศน์เรตติ้งสูง สู่ภาพยนตร์ที่คุณจะประทับใจไม่มีวันลืม
Sand’s Chronicle เล่าเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งย้ายตามแม่ของเธอมาอยู่ต่างจังหวัด ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ เธอได้รู้จักกับเพื่อนรักหลายคน ได้สัมผัสความรักครั้งแรก แต่ชีวิตอันแสนหวานของเธอต้องดับวูบ เมื่อผู้เป็นแม่ฆ่าตัวตายโดยไม่ทราบสาเหตุ และในขณะเดียวกัน พ่อ-ซึ่งเธอไม่เคยเจอมาตลอดชีวิตก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับปริศนาบางอย่าง
แก่นของ Sand’s Chronicle คือ การรับมือกับปัญหาของเด็กสาวผู้อ่อนต่อโลก มันพูดแทนความรู้สึกของเด็กหญิงวัยกำลังโตได้สมจริง สอดแทรกด้วยการให้กำลังใจ และร้อยเรียงภาพชีวิตอย่างสมจริง แม้ทุนสร้างจะไม่มากนัก แต่ Sand Chronicles ก็เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่มีคนชมรอดูมากที่สุดของปี และจากการฉายที่ญี่ปุ่นไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้ก็ได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลาม พร้อมๆ กับเสียงวิจารณ์ที่ค่อนไปในทางบวก ผู้ชมหลายคนตีตั๋วเข้าไปดูซ้ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนัก
Synopsis from : www.houserama.com
An is a 12-year-old girl who, with her mother, has moved in to her mother’s parents’ house after her parents divorced. In her new life in an unfamiliar countryside surrounding, she meets some wonderful companions with whom she can relate. At that time, however, her mother commits suicide… With the support of her circle of friends, she is able to regain her smile again, but then suffers heartache over her romance with one of the friends which had just begun, and experiences heartbreak

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,9/10/2008 06:48:00 AM
Nina’s Heavenly Delight
หลังจากออกจากโรงเรื่อง The Fox and The child มาซักพักชักเกิดอาการล้า อยากกลับบ้าน ลงลิฟท์มาถึงชั้นล่าง อ้าว ฝนตกหนัก กลับบ้านใม่ได้ จำใจต้องขึ้นไปตีตั๋วดูหนังอีกเรื่องเป็นเรื่องที่สอง เราเลือกเรื่องนี้ เพราะจะได้ไม่ต้องรอนาน เข้าดูได้เลย
อีกแล้วทั้งโรงมีคนดู 4 คน เปิดฉากขึ้นมาก็รู้ได้เลยว่าเป็นหนังอังกฤษ โถ ก็สำเนียงชัดซะขนาดนั้น เป็นหนังเกี่ยวกับร้านอาหารที่แข่งขันกันอยากได้ที่หนึ่ง แต่ทีนี้ตัวพ่อนางเอกดันมาตายซะก่อนที่จะแขง นางเอกจึงกู้หน้าด้วยการลงแข่งซะเอง แน่นอนอยู่แล้วว่านางเอกต้องชนะ แต่เนื้อหาจริงๆอยู่ตรงกลางเรื่องมากกว่าที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับปัญหาครอบครังของคนอินเดียที่อาศัยอยู่ในอังกฤษ เราว่า คนอินเดียที่อยู่ในอังกฤษเค้าก็ได้รับการปฎิบัติอย่างดีเหมือนคนอังกฤษคนนึงนะ ดูจากในเรื่อง รู้สึกว่าไม่ได้รับการปฎิบัติเป็นคนชั้นสองอะไรเลย ก็เห็นคนที่นั่นให้การต้อนรับดีทีเดียว แถมนางเอกยังเป็นหญิงรักหญิงด้วย นางเอกสวยคมเหมือนคนไทยเลย สวยมากๆ แต่ดันไปชอบผู้หญิงซะนี่ มีตอนจูบกับนางเอกอีกนที่เป็นชาวอังกฤษด้วย แต่คนนี้สวยสู้นางเอกแขกไม่ได้ แขกสวยกว่าเยอะ
นังไม่ได้เสนอมุมมองใหม่เกี่ยวกับการทำอาหารอะไรเลย เราว่าอาหารในเรื่องน่ากินสู้อาหารไทยไม่ได้เลย ท่าทางที่แสดงก็ดูเก้งก้าง ไม่น่าชนะได้เล๊ย แต่เอาเหอะ การทำอาหารเป็นแค่องค์ประกอบที่ทำให้ทอมดี้ได้เจอกันเท่านั้น คิดว่า เค้าคงไม่ได้เน้นจุดนี้เท่ากับมุมมองทางด้านความรักหรอก
หนังค่อนข้างสั้นอีกแล้ว แต่ที่ประทับใจคือ เพลงแขกในเรื่องที่เราสงสัยว่า น่าจะเป้นเพลงแขกที่ทำขึ้นในอังกฤษหรือเปล่า เพราะฟังดูรื่นหู ไม่ค่อยเหมือนเพลงแขกสมัยก่อนที่ฟังแล้วหนักไปทางเสียงกลอง กับเสียงกระพรวน ( หรืออะไรก็ไม่รู้ )
หนังไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำมากนัก นอกจากเพลงที่ฟังเพลินๆ เนื้อเรื่องก็งั้นๆ เหมือนหนังฮ่องกง แต่ทำบรรยากาศของการแข่งขันสู้หนังฮ่องกงไม่ติดฝุ่นเลย ไม่รู้จะเปรียบเทียบกันยังไง เหมือนหิ่งห้อยกับดวงอาทิตย์ยังไงยังงั้น
สรุป ก็ไม่เท่าไหร่นะ สำหรับหนังเรื่องนี้ ดูสบายๆ ไม่ซีเรียสมาก ดาราก็เล่นไปแบบเรื่อยๆเปื่อยๆ ไม่เร้าใจอะไร เนื้อเรื่องก็ธรรมด๊าธรรมดา ก็อย่างที่บอกนั่นแหละไม่มัอะไรให้จดจำเท่าไหร่ อย่างนี้ก็เอาไป 6.6 ก็น่าจะพอ
เนื้อเรื่องย่อ จาก http://www.nangdee.com/
หนังน่ารักๆ จากประเทศอังกฤษเรื่องนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่หลงใหลในการทำอาหาร ชื่นชอบบรรยากาศสุดแสนโรแมนติคและอารมณ์ขันร้ายๆ แบบชาวอังกฤษ
Nina's Heavenly Delights เล่าเรื่องของนีน่า เลสเบี้ยนสาวสุดเฉี่ยวที่ต้องมาสานต่อธุรกิจร้านอาหารอินเดียของครอบครัวหลังจากที่พ่อ ผู้เป็นเสาหลักของบ้าน ด่วนจากไปอย่างกะทันหัน
แต่หญิงสาวที่เข้าครัวมานับครั้งได้ (แค่ 1-2 ครั้ง) อย่างเธอ จะเอาชนะใจลูกค้าประจำได้อย่างไร และสูตรแกงกะหรี่ลึกลับของตระกูลจะได้รับการเปิดเผยหรือไม่ พลาดไม่ได้ในหนังที่กวาดเสียงหัวเราะจากคนดูมาแล้วทั่วโลกเรื่องนี้
นอกเหนือจากการพูดถึง Multi-cultural ของประเทศอังกฤษแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีการนำประเด็นรักร่วมเพศมานำเสนอได้อย่างน่ารักครื้นเครง
Synopsis from : http://www.siamzone.com/movie
A feisty young woman returns to Glasgow to run her deceased father's curry house.
Nina (Shelley Conn) returns home to Glasgow upon learning of her father's death, then moved to London after some family altercation. There is obvious tension between her and the family she left behind.
The Shahs have an award-winning Indian restaurant called The New Taj, of which a young woman named Lisa (Laura Fraser) now owns half after Nina's father had lost half of the business as part of a bet.
Nina's father's secret is discovered after his death: their restaurant was selected to compete in The Best of the West Curry Competition on television. His dream was to pull off the hat trick of winning this competition for a third time.Nina decides to win the trophy for her father, but gets distracted by falling in love with Lisa.

Labels: ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments
,9/10/2008 06:30:00 AM
The Fox and the Child
ตั้งใจไว้หลายวันแล้วว่า วันนี้จะไปดูหนังที่ House ให้ได้หลังจากที่ไม่ได้ไปดูมาตั้งนานนม ก้เลยมีหนังให้อัพเดทตั้งสามเรื่องแน่ะ มี The Fox and the Child เรื่องนึงละ Nina’s Heavenly delight แล้วก็ Sands Chronicle ซึ่งเรื่องหลังนี่ เข้าโรงมาได้เกือบเดือนแล้วล่ะ จนป่านนี้ยังไม่ออก แสดงว่าต้องมีอะไรดีแน่ๆเลย
เราตีตั๋วดูเรื่อง The Fox and The Child ก่อนเลย เพราะว่า มีรอบบ่ายสอง พอจบแล้วเราจะได้ดูเรื่องอื่นได้ครบทั้งสามเรื่องเลยไง เป็นไง วางแผนการดูหนังไว้เป็นระบบดีมั๊ยล่ะ 5555
เชิ่อมั๊ย ทั้งโรงมีสามคน เราเคยถามน้องขายตั๋วนะว่า นี่ถ้าพี่ซื้อตั๋วไปแล้วมีคนดูแค่นิดเดียวทำไง น้องพูดหน้าตาเฉยเลยว่า อ๋อ คนเดียวก็ฉายค่า เราก็เลยคิดในใจ เออ ดีเว๊ย แสดงว่า ซื้อตั๋วแล้วต้องได้ดูแน่ๆ ไม่เหมือนกับโรงดังๆบางโรงที่คืนเงินให้ลูกค้า อ้าวแล้วม่คืนค่ารถให้ด้วยล่ะ อุตส่าห์ถ่อสังขารมาดู เราว่า แบบนี้แหละถูกต้องที่สุด ในแง่ของการให้บริการ ในเมื่อคุณมีรอบนี้แล้ว เมื่อมีคนดูคุณก็ควรจะฉาย ไม่งั้นคุณก็งดไปซะเลยก็สิ้นเรื่อง ดีกว่า ให้ลูกค้าซื้อตั๋วไปแล้วมาเสียอารมณ์ทีหลัง
หลังเปิดภาพขึ้นมาได้อย่างสวยสดงดงาม ตระการตาจริงๆ เป็นภาพป่าในยุโรปในหน้าร้อน มีสีสัน เราดูไปเราก็อดจินตนาการไปไม่ได้ว่าได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆเพราะป่าเขาลำเนาไพรในเรื่องมันชวนให้คิดไปอย่างนั้นจริงๆนะ สีเขียวเป็นเขียว ส้มเป็นส้มเลย
โชคดี ที่เราเป็นแฟนหนังฝรั่งเศสมาก่อน เราเลยรู้ว่า หนังของประเทศนี้ ทำได้อารมณ์มากๆทั้งเนื้อเรื่องและภาพที่ปรากฎต่อสายตา จะว่าไป หนังฝรั่งเศสเป็ฯหนังที่เราชอบที่สุด เพราะเนื้อเรื่องที่ไม่เหมือนใคร แล้วก็มุมกล้องด้วย ชอบไปทุกอย่างเลย ยกเว้นภาษาพูดที่เราฟังไม่รู้เรื่อง วี๊วี๊ วู๊วู๊ ตองๆ อะไรก็ไม่รู้
เด็กในเรื่องเป็นเด็กผู้หญิง กระเต็มหน้าเลย แต่ยิ้มที โลกสดใสขึ้นมาเป็นกองสองกอง น่ารักจริงๆ ในเรื่องแทบไม่ได้ยินเสียงเด็กเลย เพราะว่าเป็นเสียงผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องราวตอนเป็นเด็กให้คนดูฟัง ว่า เธอชอบสุนัขจิ้งจอกได้ยังไง แล้วก็เล่าถึงวีรกรรมที่ได้เจอในวัยเด็กกับสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น
คนสร้างพยายามทำให้เป็นสารคดีกึ่งนิยาย ซึ่งทำได้โคตรสนุก มีลุ้นด้วย เราไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่าจะมีคนทำหนังสารคดีได้สนุกอย่างนี้มาก่อน ประทับใจทุกฉาก ไม่รู้ว่า ภาพแบบนี้เค้าไปถ่ายมาได้ยังไง อย่างฉากตอนที่แมวป่าวิ่งไล่สุนัขจิ้งจอก แล้วคนถ่ายถ่ายได้ทั้งมุมก้มมุมเงย มุมใกล้ ในฌโพรงดิน คือเราสงสัยว่า รู้ได้ไงว่ามันจะวิ่งไปตรงโพรงนั้น ในมุมนั้นพอดี ภาพมันถึงได้เหมือนกับใช้คนแสดง ( ขอย้ำว่า อย่างกับใช้คนแสดงเพราะว่า สั่งได้ไงว่าจะให้ทำท่าอะไรยังไง ) เหลือเชื่อสุดๆ แต่ดูก็รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์เลี้ยวแหงๆ อ้าว ก็ใครมันจะไปฝึกสุนัขจิ้งจอกได้ล่ะ
พูดง่ายๆ คนสร้สง เก่งโคตรๆ ต้องมีคตวามอดทนสูงมาก เด็กที่แสดงก็เล่นดีมากๆ ดูธรรมชาติมากซะจนเราไม่นึกว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นนะ เหมือนกับดูเรื่องจริงอยู่เลย เพลงประกอบ ก็ใส่ได้อย่างลงตัว ตอนตื่นเต้นก็ใช้เพลงนึง ตอนเศร้าก็อีกเพลง ไม่รู้จะพูดยังไงคือมันดูแล้วมันอินมากๆ ไม่เหมือนหนังของบางประเทศที่จุดอ่อนร้ายแรงที่สุด น่าจะอยู่ที่เพลงประกอบนี่แหละ ที่ส่วนใหญ่ยังห่วยอยู่มากๆ คงไม่ต้องให้บอกนะว่าประเทศไหน
หนังดูสนุกมากมีแอบเศร้าตอนใกล้จบด้วย ที่เราชอบหนังฝรั่งเศสอย่างหนึ่งก็คือ เราได้อะไรทุกครั้งจากการดูหนังฝรั่งเศสอย่างเรื่องนี้ ก็พยายามสอนเรื่องการยอมรับธรรมชาติของสัตว์ ว่า สัตว์แต่ละชนิดต่างก็มีธรรมชาตืที่แตกต่างกัน ถ้าเรายอมรับจุดนี้ได้ เราก็เรียนรู้ที่จะรักเพื่อนสัตว์โลกทุกชนิดได้โดยไม่ต้องการครอบครองมัน
สรุป หนังดี เนื้อเรนื่องสนุก ตัวแสดงน่ารักทั้งคนและสัตว์ ได้คติ เราว่าถ้ามีหนังเกี่ยวกับคน และ สัตว์ซักเรื่องที่ดีดี เรื่องนี้น่าจะอยู่ในอันดับต้นๆเลยนะ เสียอย่างเดียว หนังสั้นไปนิด เผลอแป๊บเดียวจบซะล่ะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องนี้เราต้องหาซือ้ ดีวีดี มาเก็บไว้ให้ได้ เราให้ 9.3 นะเรื่องนี้ ชอบมั่กๆ
เนื้อเรื่องย่อ จาก : http://movie.mthai.com/
ยังจำภาพยนตร์สารคดีสุดน่ารักเรื่อง March of the Penguins (2005) ที่เล่าชีวิตจริงผ่านจอของเหล่านกเพนกวินจักรพรรดิได้อย่างโรแมนติก น่ารัก และแสนจะดราม่า จนกลายเป็นหนังสารคดีขวัญใจใครต่อใคร คว้ารางวัลมากมายรวมทั้งรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมอีกด้วย ตอนนี้ผู้กำกับ ลุก ฌาคเกต์ มีงานใหม่มาให้เราชมแล้ว เขาฉีกแนวออกไปนิดหน่อยแต่เชื่อว่าอารมณ์ของหนังยังละมุนละไมเหมือนเดิม กับหนังที่ชื่อว่า The Fox and The Child
The Fox and The Child เป็นหนังที่แหวกกฏเกณฑ์หนังทั่วไปอย่างนิ่มๆ ด้วยการเอาหนังนิทานผจญภัยที่เหมาะจะเอาไว้เปิดให้เด็กๆ ชม มาผสมกับการใช้ภาพอันสวยงามในแบบสารคดีชั้นเยี่ยม หนังจับเรื่องราวการผจญภัยของสาวน้อยคนหนึ่งที่ติดตามหมาจิ้งจอกสุดน่ารักเข้าไปในป่าใหญ่ และใช้เสียงบรรยายเรื่องโดย เคท วินสเลต เหมือนเป็นเรื่องเล่าจากความทรงจำอันงดงามในวัยเยาว์ของหญิงสาวคนหนึ่ง
ผู้กำกับ ลุก ฌาคเกต์ บอกว่าเขาได้แรงบันดาลใจในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้จากประสบการณ์การเผชิญหน้าสัตว์ป่าที่ทั้งสวยงามและลึกลับอย่างสุนัขจิ้งจอก เมื่อตอนที่เขาอายุ 10 ขวบ ความรู้สึกในครั้งนั้นเขายังจดจำมันไม่ลืมเลือน เขายังเล่าเพิ่มเติมให้เราฟังอีกนิดด้วยว่า หนังเรื่องนี้จะให้อารมณ์เหมือนการได้อ่านวรรณกรรมเยาวชนสุดคลาสสิกจากฝรั่งเศสเรื่อง เจ้าชายน้อย ประมาณนั้นเลยทีเดียว
Synopsis from : www.houserama.com
A young girl of about 10 years lives in a solitary peasant's house on the edge of the jurassic mountains in the East of France. One day in autumn, when she is on her way to school through the forest, she observes a hunting fox. Of course, the fox flees from her, but the girl feels a strong desire to meet the fox again. During the following months, she spends most of her free time in the forests, exploring the nature, observing many different animals, but above all searching for the fox. Yet, she never sees the fox again before winter comes. During the winter, already knowing how to distinguish the tracks various animals leave in the snow, she follows fox's traces far across the fields, through woods and thickets. Still, she does not find the fox, but instead, she is terrified by the howling of wolves close by. In panic, she tries to run home, but seriously hurts her ankle during her flight.
The film does not explain how she manages to get back home at all; maybe, she manages to walk despite her injury, maybe her parents miss her, search for her and carry her back. In any case, the healing of her injured leg takes all the rest of the winter. She cannot leave the house any more, but spends lots of time reading books about the wild animals of the woods, above all about foxes. During springtime, the girl resumes her roaming in the woods. She already knows how to identify fox's kennels. Finding many of them, she finds some empty, some blocked by people who consider foxes harmful animals that should be hunted down and killed.
But she also finds a kennel that's obviously inhabited. Sitting down behind the bushes some dozens of meters away from the kennel, she patiently waits for the fox to come out or to come home. But the fox, having cast its young, is particularly shy and wary, not showing itself when the girl is near. In fact, it is so disquieted that it starts removing its young to a different hole in order to hide them from the spying human. By chance, just when the fox carries one of its young out of the kennel, the girl returns and sees it leaving. The girl understands that the fox is extremely frightened, so she decides not to try to find the new hiding. On the other hand, she guesses that the new hole must be close, so she watches the scene from a larger distance: From the branches of an old beech near the edge of the forest.
And indeed, after many fruitless and uneventful watches, the fox finally shows itself. During the following weeks, the girl is gradually taming the fox: At first, the intervals at which the girl sees the fox decrease, but the fox is always staying far away from the girl and flees as soon as they become aware of each other. When the girl starts to put pieces of bacon in a line leading to her tree, the fox starts coming closer. After many weeks, the fox still flees from the girl, but allows her to follow at a distance: They start roaming the fields and woods together in this peculiar manner. The girl, from her perspective, gets the impression that the fox is showing her around the forest - in any case, she comes to know many new places and things in the forest that she wasn't aware of before.
Again, many weeks pass before the fox starts taking meat from the girl's hand and still longer before it allows her to touch it, but finally, the fox enjoys being fondled like a dog. It even leads the girl to its kennel where she meets the young foxes, too. During the summer, while following the fox, the girl lives through many adventures: jumping across a mountain creek in a deep and narrow ravine, nearly getting lost in a karst cave, passing a night in the forest, utterly scared by the sounds of the night in the forest and by several pairs of eyes glowing at her out of the dark, protecting one of the young foxes from a hunting bird of prey, meating a brown bear, finally saving her fox from a hunting pride of wolves, scaring the wolves away by jumping and shouting on the top of her voice.
After all these adventures and after becoming accustomed to the fox behaving as a tame animal, the girl starts playing children's role games while the fox is around: giving the fox a name, talking to it, imagining a house in the middle of the wood, lighting a fire "on the hearth", treating the fox as "her dog", giving it a necklace and a leash. Finally, she leads the fox to the house where she lives, and even though it is very frightened, it follows her up the stairs into her chamber. She tries to play with "her" fox as people would at times play with a dog: for example, hiding under the bed and the table and chasing each other around the room, nearly starting a tussle on the floor. But it turns out the the fox cannot stand the closed room: It starts jumping along the walls and across the furniture trying to escape, throwing toys off the shelves, breaking dishes and vases, getting more and more agitated, finally jumping in panic out through the closed window, breaking the glass. The girl finds it in the court, covered with blood and having lost conscience.
Strangely enough, even though the girl is obviously used to keeping pets and farm animals, the thought of searching help from a veterinarian doesn't occur to her. Perhaps she has still kept the fox as a secret she didn't tell even her parents about; perhaps the next veterinarian is living so far away that she has no hope to carry the fox that far; perhaps she thinks that no man would tend a fox, often having seen hunters catching, shooting, even poisoning foxes. Anyway, she carries the fox back to its kennel, rather mourning for it than tending it, not even removing the necklace before the young foxes start tearing at the cloth. In fact, it's rather the young foxes tending their mother, licking its wounds. The girl is deeply shocked and ashamed and utterly helpless. When she sees that the fox still lives, not knowing whether it will indeed survive, she finally walks away. During the following days, she often returns to the places where the two liked to meet, but never again she approaches the kennel. The girl feels that her friendship with the fox can never again be exactly as it was before. In a way, she has betrayed their friendship. All the same, that autumn and during part of the winter, the two sometimes meet in the wild, the girl now treating the fox with tender but restrained respect. During the winter, the girl loses track of the fox, never seing it again.
A decade later, she explains to her young son the lesson she learnt from that episode: True friendship between human and animal is extremely difficult to attain because the human will inevitably be tempted to domesticate the animal, changing its character and life, longing to own it instead of just watching, liking and meeting it. After the horrible scene in her chamber, the girl decided that the wild animal must always be free to decide what it wants and what it doesn't want to do: "I promised to the fox that it must always be her to choose the game, that never again i would try to force any game upon her - because i could never know whether she would like it."
from imdb.com

Labels: , ,

 
posted by Apica Rungsiuthai
Permalink0 comments